สืบเนื่องจากช่วงนี้ กระแสของมือถือหน้าจอโค้งงอได้ (Bendable / Flexible display) กำลังมาแรงครับ โดยค่ายมือถือที่กำลังแข่งกันเป็นที่หนึ่งของโลกในการเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอโค้งได้นี้ คือค่ายมือถือร่วมชาติอย่าง LG ที่จะมาพร้อมกับมือถือที่คาดว่าจะมาในชื่อ LG G Flex และ Samsung ที่คาดว่าจะเปิดตัวในชื่อ Samsung Galaxy Round โดยคาดว่าทั้ง 2 บริษัทจะเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอแบบใหม่นี้ในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ครับ
โดยคำถามที่ตามมาสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆคือ แล้วเจ้ามือถือที่มีจอแบบโค้งได้นี่มันให้อะไรกับเรา? มันทำอะไรได้บ้างนอกจากโค้งได้? หรือส่วนที่โค้งขึ้นมาเอาไว้แค่โชว์การแจ้งเตือนต่างๆ (Notification) เท่านั้นหรือ?
วันนี้เรามาดูอะไรดีๆเกี่ยวกับเจ้าเทคโนโลยีนี้กันครับ
ในเนื้อหาบทความนี้คงจะไม่พูดถึงเรื่องเทคนิคเชิงลึกเกี่ยวกับว่าเจ้าจอโค้งได้นี้ทำมาจากอะไร และเพราะอะไรมันถึงโค้งได้ เพราะมันเป็นเรื่องเชิงเทคนิคพอสมควร แต่ถ้าท่านใดต้องการอ่านเพิ่มเติม สามารถอ่านได้จากที่นี่เป็นต้นครับ: Source 1http://www.phonearena.com/news/Flexible-mobile-displays-Interview-from-the-research-lab-with-Michael-G.-Helander_id24436)

องค์ประกอบของหน้าจอ Bendable/Flexible display ของ Samsung ที่ชื่อว่า “Youm” เทียบกับจอรูปแบบอื่นๆ
สิ่งที่เราจะเน้นถึงคือ ในฐานะผู้บริโภคเราจะได้อะไรจากหน้าจอแบบใหม่นี้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสามารถคาดหวังกับมันได้ในอนาคตอันใกล้ครับ
หน้าจอที่โค้งงอได้ (Bendable) ทำให้มันไม่มีวันนแตก (Unbreakable)
สิ่งแรกที่ต้องอ้างถึงคือ ด้วยโครงสร้างของเจ้าหน้าจอแบบโค้งได้นี้ เป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานอิงบนหน้าจอแบบ OLED ซึ่งไม่ต้องการแผง backlight ด้านหลังแบบจอ LCD เดิม และเจ้าจอโค้งได้นี้สามารถแสดงผลบนวัสดุที่ทำมาจาก “พลาสติก” ได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบหน้าจอแบบเดิมๆ ซึ่งนี่เป็น
สิ่งที่ทำให้หน้าจอแบบแบบใหม่นี้มาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ 2 คำ คือ โค้งงอได้ (Bendable) และ ไม่มีวันแตก (Unbreakable)
ในส่วนของการโค้งงอได้นั้น เนื่องจากหน้าจอแบบใหม่นี้ มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มคล้ายกับถุงแบบ zip lock จึงทำให้มันสามารถดัดแปลงรูปร่างของมันได้ค่อนข้างหลากหลาย

และด้วยความที่วัสดุของมันทำมาจากพลาสติก ทำให้ถึงแม้เราจะทำมือถือตกหน้าจอกระแทกเข้ากับพื้นผิวแข็งๆ ตัวหน้าจอของมือถือเราก็จะไม่แตก (นี่คือสิ่งที่บทความเกี่ยวกับหน้าจอ bendable / flexible display จะกล่าวไว้ นั่นคือไม่มีวันแตก แต่ของจริงจะเป็นอย่างไร เราต้องรอพิสูจน์กันตอนมือถือที่ใช้จอแบบนี้ออกวางจำหน่ายจริงๆอีกทีครับ)
อย่างไรก็ดี สำหรับมือถือนั้น ถึงแม้หน้าจอจะใช้งานจอแบบ bendable / flexible display แต่ว่าองค์ประกอบอื่นๆในตัวเครื่องเช่น เมนบอร์ด แรมหรือแบตเตอร์รี่นั้นไม่ได้ผลิตมาให้สามารถโค้งตามจอได้ด้วย (ถึงแม้จะมีข่าวว่าองค์ประกอบเหล่านี้ก็เริ่มเข้าสู่การผลิตแบบให้สามารถโค้งงอได้แล้ว แต่ว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักพักครับ) นั่นไม่ได้หมายความว่ามือถือของคุณจะไม่มีวันพังนะครับ เพราะถ้าชิ้นส่วนที่เสียหายเป็นส่วนอื่นๆในเครื่อง ก็ทำให้มันพังได้เช่นกัน
2. 4K
จอทีวี ยิ่งใหญ่ภาพก็ยิ่งหยาบ ยิ่งเบลอ เมื่อความละเอียดของภาพเท่าเดิม แต่ขนาดของจอมันใหญ่ขึ้น เปรียบเหมือนเราเอาหน้าไปจ้องทีวีในระยะใกล้ๆ เราก็จะเห็นถึงความเบลอ
ปีที่ผ่านมาหลายคนที่ซื้อทีวีเริ่มสังเกต (และโดนคนขายบิ้ว) ให้ซื้อทีวีที่เรียกว่า Full HD 1080p คือทีวีที่มีความละเอียดสูง 1920×1080 ส่วนทีวีที่ราคาถูกลงมาหน่อยจะเรียกว่า HD 720p (1280×720) ย้ำอีกทีว่า ยิ่งละเอียดสูง ภาพก็ยิ่งชัด
และเมื่อเราเริ่มที่จะอยากได้ทีวีจอใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ความละเอียดที่ 1920×1080 อาจไม่พอเพียง วันนี้จึงมีความละเอียดที่เป็นสุดยอดมากกว่าที่เค้าเรียกว่า 4K
4K Ultra high definition television คือมาตรฐานใหม่ของจอทีวี ที่ให้ความละเอียดถึง 3840 x 2160 และเมื่อเอาตัวเลขมาคูณกันจะได้ 8,294,400 pixels พอดี
ตัวเลข 8ล้านกว่านี้ สูงกว่า Full HD ที่เราพอจะหาซื้อได้ในท้องตลาดถึง 4 เท่า!
ความละเอียดขนาดนี้ บางคนบอกว่า เราสามารถที่จะหยุดภาพวิดีโอที่ถ่ายด้วยความละเอียด 4K และสามารถ print ลงกระดาษได้เลย
ความจริงแล้ว 4K ไม่ใช่เรื่องใหม่ และความละเอียดของ 4K มีหลายมาตรฐาน (อ่านต่อได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/4K_resolution) ในตลาดมีการทำจอ 4K ออกมาขายแล้ว เพียงแค่ราคายังไม่เหมาะกับกระเป๋าคนทั่วไปเท่าไร่นัก
3. ทีวีจอใหญ่ที่สุด 110 นิ้ว
เราว่าจอทีวีขนาด 50กว่านิ้วก็ใหญ่แล้ว ดูในห้องเล็กๆ แสงก็สาดเข้าตาจนแทบจะบอด แต่วันนี้ที่งาน CES 2013 บริษัท Westinghouse ได้เปิดตัวจอที่เค้าว่าใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาด 110 นิ้ว!!
110 นิ้วไม่พอ จอใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เทคโนโลยี 4K Ultra high definition television ที่กล่าวไปด้านบน
เว็บไซต์ the Verge บอกว่า จากที่ได้ไปดูตัวทดลองที่งาน CES 2013 นี้ พบว่า สีของภาพดูไม่สดเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามเค้าคิดว่านี่น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะรุ่นทดลองนี้เท่านั้น เพราะทาง Westinghouse แจ้งว่า เค้าใช้จอจากบริษัท ChinaStar บริษัทเดียวกันกับที่ผลิตจอให้ Samsung
สำหรับราคาน่ะหรอ? ตัวที่เห็นนี้อยู่ที่ 300,000 เหรียญ หรือประมาณ 10 ล้านบาทครับ !! ราคาสูงจนแอบสงสัยว่า ด้วยเงินเท่านี้น่าจะสร้างโรงหนังเองได้เลยนะนี่ น่าจะได้จอใหญ่กว่ามาก
4. OLED (Organic Light Emitting Diodes)
OLED (อ่านว่า โอ-เลท) เป็นเทคโนโลยีจอภาพแบบใหม่ที่กำลังจะมาแทนที่ LED ด้วยคุณสมบัติที่บางกว่า (1/4 นิ้ว) ประหยัดไฟกว่า ทำให้เทคโนโลยีนี้กำลังถูกผลักดันให้ขึ้นมาใช้
จุดเด่นของ OLED ที่พูดถึงกันมากคือ การทำจอภาพที่ยืดหยุ่นได้ หรือ Flexible Display จอภาพที่สามารถโค้ง งอ หรือแม้กระทั่งม้วนเก็บได้ และที่สำคัญ จอ OLED นั้นสามารถมองเห็นได้จากทุกมุม กว้างสุดๆ 180 องศา (คงจะไม่มีองศาที่กว้างกว่านี้แล้วมั้ง?)
ด้วยความที่มันยืดหยุ่นได้ ตอนนี้หลายๆ บริษัทต่างจินตนาการไปถึงการที่จะพัฒนา OLED นี้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำเป็นแผนที่ เครื่องเล่นเกม และที่เคยได้ยินมานานแล้วคือ ทำเป็นเสื้อผ้า ประมาณว่า ถ้าวันนี้อยากจะเปลี่ยนสีเสื้อผ้าเป็นลายต่างๆ ก็แค่ดาวน์โหลดสีหรือลายใหม่ก็สามารถใช้ได้ทันที
ทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการทำงานของจอ OLED ไม่ขออธิบายไว้ตรงนี้นะครับ ใครต้องการไปหาข้อมูลอ่านต่อ สามารถตาม link ด้านล่างนี้ได้เลย มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษครับ
OLED – Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/OLED
เทคโนโลยี Oled คืออะไร http://www.siamget.com/buyerguide/3156
OLED TV คืออะไรเเละดีกว่า led tv เเละ lcd tv ยังไง http://www.bt-50.com/topic.php?q_id=29406
OLED เทคโนโลยีเพื่อจอภาพบาง http://www.eclubthai.com/board/index.php?topic=33125.0;wap2
เทคโนโลยี Oled คืออะไร http://www.siamget.com/buyerguide/3156
OLED TV คืออะไรเเละดีกว่า led tv เเละ lcd tv ยังไง http://www.bt-50.com/topic.php?q_id=29406
OLED เทคโนโลยีเพื่อจอภาพบาง http://www.eclubthai.com/board/index.php?topic=33125.0;wap2
5. Multiview screen
หลายครั้งที่คนในบ้านเดียวกัน อยากดูทีวีคนละช่อง คนละรายการ คนหนึ่งอยากดูบอล ส่วนอีกคนอยากดูละคร
วงการทีวีได้แก้ไขปัญหานี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยความสามารถในการแสดงสองช่องในจอเดียวกัน ช่องหนึ่งได้เต็มจอ อีกช่องจะแสดงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆทางมุมด้านล่าง
ที่งาน CES ปี 2013 นี้ Samsung ได้เปิดตัวทีวีที่สามารถดูแบบเต็มจอได้สองช่องพร้อมกัน
อีกครั้งครับ สองช่อง และ เต็มจอ.. พร้อมกัน
เค้าเรียกว่า “MultiView Screen”
วิธีการแยกกันดูแต่ยังอยากนั่งกอดกันบนโซฟาเดียวกันนั้นทำได้ด้วยการใส่แว่นที่มาพร้อมหูฟัง ให้คุณสามารถรับชมรายการโปรดของแต่ละคนได้ พร้อมเสียงที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
6.สุดยอดเทคโนโลยีไร้สาย ทีวี Sony ไม่มีแม้กระทั่งสายไฟ!!
ถือว่าเป็นทีวีไร้สายตัวจริง เสียงจริงนะคะ เพราะทีวี Sony ไม่มีสายต่อลำโพง ไม่มีสายต่อเครื่องเล่น DVD หรือ Blu-ray ไม่มีสายต่อ Set-top-Box และไม่มีแม้กระทั่งสายไฟ!!

เทคโนโลยีทีวีไร้สายไฟของ Sony มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Sony Wireless Power Transfer” สามารถนำพลังงานไฟฟ้า 60 วัตต์ ส่งผ่านทางอากาศมาใช้เป็นพลังงานได้ ด้วยระยะห่างจากแหล่งกำเนิดพลังงาน 20 นิ้วหรือประมาณ 50 เซนติเมตร ถือเป็นระยะที่ใช้งานได้จริง นอกซะจากว่าบ้านจะมีพื้นที่ใหญ่อลังการแบบบ้านคุณ Roman ซึ่ง Sony ยังบอกด้วยว่า ในขณะที่ทดลองระยะห่างที่ทำได้มากที่สุด ทำได้ถึง 31 นิ้วหรือประมาณ 79 เซนติเมตรเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของตำแหน่งการวางทีวีอยู่ค่ะ เพราะใช้หลัก Magnetic Resonance Frequency แต่ถึงแม้ว่าจะมีวัตถุที่เป็นโลหะวางคั่นตรงกลางก็จะไม่มีการเหนี่ยวนำไฟฟ้าไปสู่วัตถุนั้น แต่ถ้าเป็นคนไฟแรงแบบคุณ GambitX ไปยืนอยู่แทนก็ไม่แน่นะคะ ผมที่สีทองอยู่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นสีดำเกรียมๆ ได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ยังเป็นเพียงเทคโนโลยีต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนาต่อไปเท่านั้น แต่เท่าที่ขนมหวานดูจากแหล่งข้อมูลหลายๆ แห่งแล้ว ยังไม่เห็นมีการกล่าวถึงเรื่องของการรับประกันความปลอดภัย แต่ก็น่าจะพอใช้ได้ในระดับนึง ไม่งั้น R&D ของ Sony คงจะโดนไฟดูดจนหัวฟูไปหลายคนแล้วแหงๆ
7.ที่สุดแห่งเทคโนโลยีในปีนี้ !!! Samsung 3D LED TV C8000
หากพูดถึงเทคโนโลยีที่ "ร้อนแรงที่สุด" ในวงการทีวีปี้นี้ ก็คงหนีไม่พ้นกระแส "ทีวี 3 มิติ" อย่างแน่นอนครับ หากเราจะชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ระบบเสียง Dolby Digital ในโรงหนังที่รายล้อมเราด้วยลำโพงด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังเรียงกันเป็นตับ จะให้ความรู้สึกโอบล้อมเราแบบ "360 องศา" อย่างสัมผัสได้ ดังนี้ระบบเสียงที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็สามารถจัดได้ว่าเป็น "เสียง 3 มิติ" โดยพฤตินัยอยู่แล้ว![]() อย่างไรก็ตามในส่วนของระบบภาพโดยทั่วไปแล้วนั้น ก็ยังเป็นแบนๆแบบ "2 มิติ" อยู่ หากพูดกันจริงๆแล้ววิวัฒนาการ ทางด้านภาพอาจจะยังเร็วสู้ระบบเสียงที่ซับซ้อนน้อยกว่าไปซักนิด จากยุค Standard Definition (480i/576i) มายังยุค High Definition (1080i/1080p) ก็จัดได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแท้จริง เฉกเช่นการเปลี่ยนแปลงจากยุคทีวีจอขาวดำเป็นจอสี มาถึงปี 2010 นี้ การเปลี่ยนแปลงในวงการทีวีครั้งใหญ่ก็กำเนิดขึ้นอีกครั้ง นั่นก็คือการเปลี่ยนจากยุค "ภาพ 2 มิติ" เป็น "ภาพ 3 มิติ" นั่นเอง ส่วนที่ที่จะกล่าวถึงในวันนี้นั้นก็เป็นตัวที่ได้รับรางวัล Most Advanced Technology Award หรือรางวัลทีวีที่มี "เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด" ประจำปีนี้ :: ในการประกาศรางวัล VIDEOPHILE LCDTVTHAILAND AWARDS 2010-2011 ก็คือ Samsung 3D LED TV C8000 นั่นเอง ทำให้ครั้งนี้ไม่แพียงแค่ระบบเสียงจะมีมิติล้อมรอบเราเท่านั้น ภาพและตัวละครต่างๆบนจอก็จะมีมิติเหมือนจะลอยออกจากจออกมาอยู่ตรงหน้าของเราได้อีกด้วย ![]() แล้วคำถามคือ "แล้วทำไม Samsung C8000 ถึงเป็นตัวที่ได้รับรางวัล Most Advanced Technology Award ?" ทั้งๆที่ 3D TV เจ้าอื่นๆก็มีตั้งเยอะแยะ คำตอบก็ง่ายๆนะครับ เพราะ Samsung เป็นเจ้าแรกที่นำ 3D TV วางจำหน่ายในท้องตลาดประเทศไทย มาพร้อมกับ Full Line Up ไม่ว่าจะเป็น 3D LED TV / 3D LCD TV / 3D Plasma TV / 3D blu-ray Player / 3D Blu-ray Home Theater ซึ่งไม่ได้ออกมาเป็นน้ำจิ้ม แต่เรียกได้ว่าออกมา "ยกแผง" เป็นกองทัพเลยก็ว่าได้ ในขณะที่ความสามารถในการแสดงภาพสามมิติและลูกเล่นหลายๆอย่างก็ครบถ้วนสมบูรณ์และ "ล้ำหน้า" กว่าเจ้าอื่นๆที่ออกตามมาทีหลังด้วยซ้ำ ![]() เอาเป็นว่าเรามดูความสามารถของ Samsung LED TV C8000 ที่ล้ำหน้ากว่าทีวี 3 มิติรุ่นอื่นๆก่อนดีกว่าครับ 1. All 3D Formats Playback :: ความสามารถในการแสดงภาพ 3 มิติได้ทุกรุปแบบในปัจจุบันนี้หากต้องการดูหนัง 3 มิติแท้ๆแบบ Framepack ซึ่งไม่ได้มีการบีบอัดข้อมูลหากเทียบกับ 3D ประเภท Side by Side และ Top/Bottom หละก็ จำเป็นต้องใช้แผ่น 3D แบบ Framepack แท้ๆอาทิเช่นเรื่อง Monster VS Aliens / Cloudy with A Chance of Meat Ball / Ice Age 3 :: Dawn of the Dinosaurs แล้วก็ต้องใช้เครื่องเล่น Blu-ray Player แบบ 3 มิติในการเล่นเท่านั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทุกยี่ห้อก็มีกัน อย่างไรก็ Samsung C8000 ก็สามารถรองรับ Format ภาพ 3 มิติได้ทุกรูปแบบนอกเหนือจากแบบ Framepack ครับ อาทิเช่น Side by Side / Top Bottom / Checker Board เป็นต้น หากในอนาคตจะมี Format 3D เหล่านี้ออกมาเพิ่มเติมอีก อาทิเช่น หนัง 3D, การออกอากาศทีวีแบบ 3D หรือ เกมส์ 3D ก็มั่นใจได้ว่า Samsung 3D LED TV C8000 Series ตัวนี้ก็สามารถรองรับและแสดงผลได้ทั้งหมด ถือได้ว่ารองรับอนาคตกันไปยาวๆ ![]() Format 3D ต่างๆที่ Samsung C8000 รองรับครับ ที่เด่นๆและใช้กันบ่อยก็มี Framepack / Side by Side / Top Bottom 3D แบบ Framepack เรื่อง Monster VS Aliesns ภาพจะเหลื่อมซ้อนซ้ายขวากัน เพียงแค่ใส่แว่น 3 มิติเข้าไปภาพก็จะลอยมีมิติออกมา ![]() ทีวี 3 มิติ ยิ่งดูในที่มืด ภาพยิ่งลอยมีมิติ เพราะแสงจากภายนอกจะมากวนสายตาได้น้อยกว่า แผ่นหนัง 3D แท้ๆแบบ Framepack อาทิเช่น Monster VS Aliens แถมมาให้กับชุดเลย
2. 2D to 3D Conversion :: เปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาให้เป็นภาพ 3 มิติอีกหนึ่งลูกเล่นที่ "ไม่ต้องง้อ" แผ่นหนัง 3 มิติก็คือ การเปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาๆ ให้เป็นภาพ 3 มิติ จริงอยู่ว่าในช่วงปลายปี 2010 ต้นปี 2011 แผ่นหนังบลูเรย์ 3 มิติอาจจะยังมีไม่แพร่หลายมากนัก คงต้องรอประมาณกลางปีถึงปลายปี 2011 ถึงจะทยอยออกมาให้เลือกกันเยอะกว่านี้ (เหมือนแผ่น Blu-ray ออกมาใหม่ๆ ก็แค่เป็นโซนเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในโซนแผ่น DVD แต่ตอนนี้มีให้เลือกเยอะมาก) ทำให้มีบางคำถามถามว่า แล้วจะซื้อทีวี 3 มิติ มาดูกับอะไร ? คำตอบของ Samsung ก็คือ ก็ซื้อมาดูรายการทีวีธรรมดา / หนังจาก Cable TV / Game / หนังแผ่น Blu-ray DVD แบบ 2 มิติธรรมดาๆ และก็สามารถแปลงเป็นภาพ 3 มิติได้ถ้าต้องการ (ว้าว) เพียงแค่กดปุ่ม 3D บนรีโมทคอนโทรล เสร็จแล้วก็เลือกไปที่ "2D to 3D Conversion" ถึงแม้มิติภาพอาจจะสู้คอนเทนต์ 3 มิติแท้ๆไม่ได้ อย่างไรก็ตามมันก็มีมิติขึ้นมาแบบ "จับต้องได้" มากขึ้น และสามารถ "เพิ่มอรรถรสในการรับชม" ขึ้นมาได้อีกเยอะ ในขณะที่ค่าย 3D TV เจ้าอื่นๆมักจะไม่มีฟังก์ชั่นนี้ หากให้เปรียบเทียบคงจะเปรียบเทียบในส่วนของเครื่องเล่น Player ต่างๆ เราก็คงอยากให้มีฟังก์ชั่น Upscale ภาพธรรมดาๆ 576i ให้เป็น 1080p หรือหากเป็นเสียงก็คงเทียบกับฟังก์ชั่น "Upsampling" ที่ทำให้คุณภาพเสียงของไฟล์เพลงดีขึ้น ดังนี้ก็สามารถหยิบแผ่นหนัง Blu-ray แบบ 2D ธรรมดาๆและมา "เพิ่มพลังมิติภาพ" ให้กับแผ่น Blu-ray ของท่าน ด้วยการแปลงภาพ 2D ให้เป็น 3D ด้วย Samsung C8000 กันเถอะ
![]() 2D to 3D Conversion เปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาๆให้เป็นภาพ 3 มิติได้
และยิ่งไปกว่านั้นที่ทีวีสามมิติทั่วไป "ไม่สามารถทำได้" ก็คือ การปรับ "ระดับความลึกมีมิติ" ของภาพ 3 มิติ (Depth) ได้ถึง 10 ระดับ ยิ่งตัวเลขมาก ภาพก็จะยิ่งลอยมีมิติ แต่โดยทั่วไปเพื่อไม่ให้การรับชมภาพสามมิติที่มีมิติจัดๆตึงเครียดจนเกินไปนัก แนะนำระดับ 5 ก็มีระดับมิติที่เพียงพอต่อการรับชมแล้ว
![]() ปรับ Depth ระดับความมีติของภาพ 3 มิติได้ถึง 10 ระดับ |
8.จอภาพ LCD และ CRT
คอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยีที่ขึ้นกับการแสดงผล ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ต้องติดต่อกับเครื่องผ่านทางเป้นพิมพ์และ แสดงผลออกมาทางจอภาพและการแสดงผลนั้นก็ได้รับการพัฒนาจากหลอดภาพ CRT และแผงแสดง LCDเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก การใช้เครื่องมือต่างๆ ในชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการแสดงผลเพื่อที่จะให้ข้อมูลข่าวสารปรากฎแก่สายตาของผู้ใช้พัฒนาการของจอภาพจึงต้องพัฒนาตามอย่างต่อเนื่อง CRT มีการใช้กันอย่างกว้างขวางเพราะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามานาน CRT เป็นจอภาพที่ใช้กับโทรทัศน์และ พัฒนาต่อให้ใช้กับจอภาพของคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันได้มีการผลิตจอภาพหลายสิบล้านเครื่องต่อปี หากพิจารณาที่เเทคโนโลยีการแสดงผล โดยพิจารณาหลักการของการใช้แสงเพื่อสร้างงาน เราสามารถแบ่งแยกหลักการออกเป็น 2 ประเภท :-
อย่างไรก็ดี การแสดงผลบนจอภาพส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี CRT เพราะ CRT มีราคาถูกกว่า มีการพัฒนามานาน มีการผลิตในขั้นอุตสาหกรรมมาก มีความทนทาน เชื่อถือได้ CRT จึงเป็นเทคโนโลยีที่อยู่คู่คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับ LCD นั้นได้เริ่มนำมาใช้ในจอแสดงผลในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแลปท็อป แบบโน๊ตบุ้ค แบบพาล์มท็อป การแสดงผลของ LCD มีลักษณะแบบแบนราบ น้ำหนักเบา กินไฟน้อย พัฒนาการของ LCD LCD มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคิดเลขและนาฬิกาดิจิตอล หลังจากนั้นก็พัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการที่มีมากขึ้น เทคโนโลยี LCD เป็นเทคโนโลยีที่มียุคสมัย และแบ่งยุคได้ตามการพัฒนาเป็นขั้นๆเหมือนยุคของคอมพิวเตอร์
ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT LCD เป็นแผงแสดงผลที่แตกต่างจาก CRT ตรงที่ตัว LCD ไม่ได้เปล่งแสงออกมา แต่ใช้หลักการควบคุมแสง จึงมีข้อเด่นมากมายเมื่อเปรียบเทียบกับ CRT จุดเด่นของ LCD จึงแสดงผลได้แม้ในสิ่งแวดล้อมที่มีแสงจ้าหรือ กลาง แจ้ง การมองเห็นทำได้อย่างชัดเจนไม่จางเหมือนอุปกรณ์ ที่ กำเนิดแสงเช่น CRT หรือ LED LCE ใช้กำลังไฟฟ้าต่ำมากโดยทั่วไปใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 1 -10 MicroWatt per Cm ใช้แรงดันไฟฟ้าขับที่แรงดันต่ำ จึงใช้วงจร CMOS ที่ทำงานเพียง 3 Volt ก็สามารถขับ LCD ได้จึงใช้ในวงจรรคอมพิวเตอร์หรือ วงจรดิจิตอลทั่วไปได้ แหล่งจ่ายไฟสำหรับ LCD ใช้แหล่งเดียวและะแรงดันไฟฟ้าระดับเดียว จึงไม่ยุ่งยากซับซ้อนในการใช้งาน หลักการเบื้องต้นของ LCD สารผลึกเหลวที่ใช้ใน LCD นั้นเป็นสารสังเคราะห์ที่จัดได้ว่าเป็นสารใหม่ที่พัฒนากันมาเมื่อไม่นานนี้ คำว่าผลึกเหลว ( Liquid Crystal ) หมายถึง สารที่อยู่ระหว่างของแข็งกับของเหลว ปกติสารทั่วไปเมื่อเป็นของแข็งที่อุณหภูมิหนึ่งครั้นได้รับอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะหลอมละลายเป็นของเหลว แต่สำหรับผลึกเหลวนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือมีช่วงอุณหภูมิที่กว้างสำหรับสถานะที่อยู่ระหว่าง ของแข็งกับของเหลว ผลึกเหลวจึงแตกต่างจากวัสดุทั่วไปที่มีจุดหลอมเหลวที่เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว หรือแม้แต่พลาสติกก็จะเริ่มอ่อนตัวเมื่อได้รับความร้อนจนหลอมละลาย แต่สำหรับผลึกเหลวมีลักษณะพิเศษ ชนิดของผลึกเหลวแยกตามโครงสร้างโมเลกุลเช่น แบบเนมาติก ( nematic ) แบบสเมติก ( smetic ) แบบคอเลสเตริก สำหรับหลักการทำงานของมันนั้น ปรากฏการณ์ของผลึกเหลวเป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะพิเศษสารอื่นๆ ในสถานะปกติ เมื่อยังไม่มีแรงดันไฟฟ้าป้อนให้ โมเลกุลของผลึกเหลววางตัวเป็นเกลียวในแนวคอลัมน์ แต่เมื่อ้อนแรงดันไฟฟ้าให้กับผลึกเหลว โครงสร้างโมเลกุลจะกระจักกระจายอย่างสุ่มดังภาพ โครงสร้างผลึกที่จัดตัวเป็นเกลียวจะทำให้แสงผ่านทะลุลงไปได้ แต่เมื่อมีสนามไฟฟ้า ผลึกจะกระจัดกระจาย แสงจึงผ่านไปไม่ได้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดลักษณะการแสดงผลเป็นแบบขาวดำ |
9.เปรียบเทียบเทคโนโลยีจอภาพคอมพิวเตอร์
โดยทั่วไปการทำงานของหลอดสี CRT จะคล้ายคลึงกับหลอด CRT ขาว-ดำ แตกต่างกันเพียงหลอดสีจะมี อุปกรณ์ยิงลำแสงเรียกว่า “electron gun” และ กลุ่มอะตอม phosphors 3 สีได้แก่ สีแดง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นพื้นฐานนำไปสร้างสีได้อีกหลากหลาย แต่ปัญหาที่พบในการเพิ่มเติมสีลงไปในหลอดภาพคือ ถ้าลำแสงไม่เที่ยงตรงเพียงพอ จะทำให้ได้สีที่ผิดไป หรือไม่มีความชัดเจน
แนวทางในการแก้ปัญหามีอยู่ 2 ทาง ทางแรกโดยการใช้หน้ากาก (หรือที่เราเรียกว่า "shadow mask") หน้ากากนี้ทำด้วยแผ่นเหล็ก เจาะรู ซึ่งจะยอมให้ลำแสงของสีที่ถูกต้องผ่านเท่านั้น อีกวิธีซึ่งได้รับการพัฒนาโดย Sonyเรียกว่า "aperture grille" โดยได้เปลี่ยนจากการใช้จุด phosphors มาเป็นเส้นตามแนวยาว จากนั้นจะใช้สายโลหะกั้นระหว่างเส้น phosphors แต่ละเส้น โดยสายโลหะนี้จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Shadow mask นั่นเอง
แนวทางในการแก้ปัญหามีอยู่ 2 ทาง ทางแรกโดยการใช้หน้ากาก (หรือที่เราเรียกว่า "shadow mask") หน้ากากนี้ทำด้วยแผ่นเหล็ก เจาะรู ซึ่งจะยอมให้ลำแสงของสีที่ถูกต้องผ่านเท่านั้น อีกวิธีซึ่งได้รับการพัฒนาโดย Sonyเรียกว่า "aperture grille" โดยได้เปลี่ยนจากการใช้จุด phosphors มาเป็นเส้นตามแนวยาว จากนั้นจะใช้สายโลหะกั้นระหว่างเส้น phosphors แต่ละเส้น โดยสายโลหะนี้จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Shadow mask นั่นเอง

ประเภทของ Shadow Mask
Dot Type จอภาพคอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้เทคโนโลยีประเภทนี้เพราะ ราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพแล้วจึงเหมาะสม เพราะความคมชัดของจอประเภทนี้มีไม่มาก
Aperture Grill เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การแสดงภาพด้านมัลติมีเดียที่ต้องการแสดงเฉดสีสูงๆได้ดีมากแต่มีจุดด้อย ในเรื่องของความคมชัดสังเกตุได้จากตัวอักษร และมีเงาของสายโลหะ เป็นเส้นแนวนอน บริเวณ 1/3 และ 2/3 ของจอ
Stripe Type เป็นเทคโนโลยี่ที่ให้จุดโฟกัสของลำแสงได้ดีทำให้การมองภาพโดยเฉพาะ ประเภทตัวอักษรมีความคมชัดมากมีความละเอียดของภาพสูง แต่การให้เฉดสียังไม่เท่ากับ Aperture Grill
Aperture Grill เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การแสดงภาพด้านมัลติมีเดียที่ต้องการแสดงเฉดสีสูงๆได้ดีมากแต่มีจุดด้อย ในเรื่องของความคมชัดสังเกตุได้จากตัวอักษร และมีเงาของสายโลหะ เป็นเส้นแนวนอน บริเวณ 1/3 และ 2/3 ของจอ
Stripe Type เป็นเทคโนโลยี่ที่ให้จุดโฟกัสของลำแสงได้ดีทำให้การมองภาพโดยเฉพาะ ประเภทตัวอักษรมีความคมชัดมากมีความละเอียดของภาพสูง แต่การให้เฉดสียังไม่เท่ากับ Aperture Grill
การดูข้อมูลทางด้านเทคนิค
ดอตพิตช์ ( Dot pitch ) รูปภาพต่างๆที่แสดงขึ้นมาบนจอเกิดจากการรวมตัวกันของเม็ดสีเล็กๆหลายๆเม็ดทำให้เกิดภาพขึ้นมา ดังนั้นในการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์ให้สังเกตค่า ดอตพิตช์ (Dot pitch) หรือ ดอตสเปช (Dot space) ว่ามีค่าเท่าไร โดยค่าดังกล่าวนี้ไม่ควรเกิน 0.25 มิลลิเมตร
ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ ( Resolution ) ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ เราควรพิจารณาดูว่าค่าResolution ว่าเหมาะสมกับขนาดของจอหรือไม่ โดยทั่วไปจอขนาด 15” ควรจะมีค่า Resolution 800 x 600 จอขนาด 17” 1024 x 768 และจอขนาด 19” 1280 x 1024 หรือ 1200 x 1600
อัตราการแสดงภาพ ( Refresh Rate ) Refresh Rate อย่างน้อยควรจะไม่ต่ำกว่า 75 Hz ซึ่งเป็นอัตราที่พอใช้ได้ไม่ทำให้เกิดอาการภาพกระพริบหรือเกิดอาการปวดหัวของผู้ใช้ ค่า Refresh Rate ยิ่งสูงยิ่งดี
ตรวจสอบมาตรฐาน ( Energy star compliance ) เป็นมาตราฐานของจอที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ของหน่วยงานการป้องกันสิ่งแวดล้อม ประเทศอเมริกา เมื่อเราพบมาตราฐานนี้นอกเหนือจากการป้องกันในเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว มาตรฐานนี้จะช่วยให้เราทราบได้ว่าจอนั้นๆมีคุณภาพในการใช้งานที่คงทนและยังช่วยในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
ดอตพิตช์ ( Dot pitch ) รูปภาพต่างๆที่แสดงขึ้นมาบนจอเกิดจากการรวมตัวกันของเม็ดสีเล็กๆหลายๆเม็ดทำให้เกิดภาพขึ้นมา ดังนั้นในการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์ให้สังเกตค่า ดอตพิตช์ (Dot pitch) หรือ ดอตสเปช (Dot space) ว่ามีค่าเท่าไร โดยค่าดังกล่าวนี้ไม่ควรเกิน 0.25 มิลลิเมตร
ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ ( Resolution ) ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ เราควรพิจารณาดูว่าค่าResolution ว่าเหมาะสมกับขนาดของจอหรือไม่ โดยทั่วไปจอขนาด 15” ควรจะมีค่า Resolution 800 x 600 จอขนาด 17” 1024 x 768 และจอขนาด 19” 1280 x 1024 หรือ 1200 x 1600
อัตราการแสดงภาพ ( Refresh Rate ) Refresh Rate อย่างน้อยควรจะไม่ต่ำกว่า 75 Hz ซึ่งเป็นอัตราที่พอใช้ได้ไม่ทำให้เกิดอาการภาพกระพริบหรือเกิดอาการปวดหัวของผู้ใช้ ค่า Refresh Rate ยิ่งสูงยิ่งดี
ตรวจสอบมาตรฐาน ( Energy star compliance ) เป็นมาตราฐานของจอที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ของหน่วยงานการป้องกันสิ่งแวดล้อม ประเทศอเมริกา เมื่อเราพบมาตราฐานนี้นอกเหนือจากการป้องกันในเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว มาตรฐานนี้จะช่วยให้เราทราบได้ว่าจอนั้นๆมีคุณภาพในการใช้งานที่คงทนและยังช่วยในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
10.OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก peoplecine.com, daydev.com
ในปัจจุบันจอภาพแบบ LCD และ LED ได้มาแทนที่จอแก้วแบบ CRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่ดีกว่าจอ CRT ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความบาง, ความคมชัดของภาพ, ประหยัดพลังงานกว่า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะมีจอชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่ LCD (และ LED) แล้ว ก็คือจอภาพแบบ OLED นั่นเอง เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายชนิดที่หันไปใช้จอภาพแบบ OLED กันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ แต่เชื่อว่าคงมีหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยทราบว่าเจ้า OLED นั้นมันเป็นยังไง มีอะไรดี แล้วมันต่างกับ LCD ยังไงบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอพาท่านไปทำความรู้จักกับ OLED กันครับ

OLED (Organic Light Emitting Diodes) คือจอภาพที่มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence) โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight และจะไม่มีการเปล่งแสดงในบริเวณที่เป็นภาพสีดำ ส่งผลให้สีดำนั้นดำสนิท อีกทั้งยังช่วยพลังงานด้วย
นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังมีความบางกว่า LCD รวมทั้งมีความยิดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ เนื่องจาก OLED มีโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็ง ทำจากวัสดุอินทรีย์มีทั้งแบบ Polymer และโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น (บางกว่าเส้นผมของคน 200 เท่า) และอาจมีชั้นสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบอยู่ 2 หรือ 3 ชั้น
รายละเอียดโครงสร้างของ OLED (แบบที่มีสารอินทรีย์ประกอบ 2 ชั้น)

1. Substrate เป็นชั้นผิวหน้าของจอภาพ อาจทำจากกระจก, ฟลอยด์โลหะ หรือพลาสติกใส ซึ่งหากทำจากฟลอยด์หรือพลาสติกใสจะทำให้ได้จอภาพที่มีความยืดหยุ่นสูง
2. Anode (ขั้วบวก) ทำด้วยวัสดุโปร่งใส (Indium Tinn Oxide ; ITO) เป็นตัวทำหน้าที่ดึงกระแสอิเล็กตรอน
3. Organic Layer ทำจากสารประกอบอินทรีย์ หรือโพลิเมอร์ของสารอินทรีย์ โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อย ๆ ได้แก่


4. Cathode (ขั้วลบ) อาจทำด้วยวัสดุโปร่งใสหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของ OLED เป็นตัวทำหน้าที่ปล่อยกระแสอีเล็กตรอน
หลักการทำงานของกระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence)

1. จอ OLED ได้รับกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหรือแบตเตอรี่
2. กระแสไฟฟ้าไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะส่งอิเล็กตรอนให้ Emissive Layer
3. Anode ดึงอิเล็กตรอนจาก Conductive Layer ทำให้เกิด Electron Holes ขึ้น
4. ระหว่าง Emissive Layer และ Conductive Layer จะเกิดปฏิกิริยา Electron (-) รวมตัวเข้ากับ Hole (+) ขึ้น
5. เนื่องจากอิเล็กตรอนมีระดับพลังงานทีสูงกว่า Holes จึงต้องลดระดับของพลังงานของอิเล็กตรอนลง ด้วยการเปลี่ยนรูปของพลังงานไปเป็นพลังงานแสงแทน
6. จอภาพ OLED เปล่งแสงจากพลังงานแสง

สำหรับสีของแสงที่ปรากฏออกมาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลของสารอินทรีย์ในชั้น Emissive layer ซึ่งในจอ Full Colour OLED จะมีสารอินทรีย์ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ สารอินทรีย์ที่ให้แสงสีแดง, เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยสารทั้ง 3 ชนิดนี้ถูกเคลือบอยู่บน OLED เพียงแผ่นเดียวเพื่อให้เกิดสีสันต่าง ๆ ส่วนความสว่างของแสงที่ปรากฏบนจอภาพจะขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสอิเล็กตรอน หากมีกระแสมากแสงก็จะมีความสว่างมากขึ้น ซึ่งปกติ OLED จะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์
OLED สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ PMOLED และ AMOLED
PMOLED (Passive Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะมีลักษณะเป็นแถบแยกออกจากกัน โดยชั้นของ Cathode และ Anode จะวางในแนวขวางซึ่งกันและกัน โดยเมื่อมีกระแสไหลผ่านในแต่ละช่อง Cathode และ Anode จะทำให้ฟิล์มเกิดการเปล่งแสงบริเวณที่ขั้ว Cathode และ Anode วางตัดกัน ดังนั้นการควบคุมการเปล่งแสงของ PMOLED จึงขึ้นอยู่กับการเลือกช่องทางเดินของกระแส โดยข้อดีของ OLED ชนิดนี้คือสร้างได้ง่าย และต้องการกระแสจากวงจรภายนอก ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากกว่า OLED ชนิดอื่น ๆ (แต่ก็ยังประหยัดพลังงงานมากกว่า LCD) ซึ่ง PMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพขนาดเล็กที่มีความกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว อย่างเช่น จอของโทรศัพท์หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ แต่ปัจจุบันนิยมหันใช้ AMOLED กันมากกว่าแล้ว

AMOLED (Active Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะต่อเนื่องกันทั้งชั้น แต่ในชั้น Anode จะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางที่เป็นวงจรในตัวเอง และควบคุมการเกิดภาพได้เอง โดย AMOLED จะใช้พลังงานน้อยกว่า PMOLED เนื่องจากลักษณะโครงสร้างที่เป็นแบบฟิล์มบาง และยังสามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ได้ด้วย จึงทำให้ AMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพที่มีขนาดใหญ่ เช่น จอโทรทัศน์, จอคอมพิวเตอร์ หรือจอป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันก็นิยมใช้เป็นจอภาพของอุปกรณ์พกกาอื่น ๆ เช่นกัน

OLED ยังแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้อีก 4 ชนิด
1. Transparent OLED ประกอบด้วยชั้นที่โปร่งแสงทุกชั้น เมื่อปิดจอ แสงจากภายนอกจะสามารถผ่านจอได้ถึง 85 % และเมื่อเปิดจอกระแสไฟฟ้าก็จะถูกส่งเข้าระบบ และเปลี่ยนเป็นแสงส่องผ่านออกมาจากจอได้ทั้งสองด้าน ซึ่งสามารถสร้างจอภาพที่มองเห็นภาพได้ทั้ง 2 ด้าน โดย Transparent OLED นี้สามารถสร้างได้ทั้งแบบ PMOLED และ AMOLED

2. Top-emitting OLED เป็นจอแบบทึบแสงหรือสะท้อนแสง โดยจอภาพแบบนี้จะเป็นแบบ AMOLED ซึ่งถูกนำไปใช้กับ Smartcard เป็นส่วนใหญ่

3. Foldable OLED ทำด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น แผ่นฟลอยด์โลหะหรือพลาสติกใส มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานสูง เหมาะใช้สำหรับโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เพื่อช่วยลดปัญหาหน้าจอแตก นอกจากนี้ ยังสามารถเย็บติดกับเส้นใยผ้าต่าง ๆ อย่างเสื้อผ้าได้อีกด้วย

4. White OLED เป็น OLED ที่ให้แสงสีขาว ช่วยประหยัดพลังงานและมีคุณภาพดีกว่าแสงที่ได้จาก หลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้เห็นสีแท้จริง เช่นเดียวกันแสงสว่างตามธรรมชาติ และมีแนวโน้มว่าเมื่อทำให้มีขนาดใหญ่ จะสามารถใช้แทนแสงฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ตามบ้านและตึกต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้หลอดไฟธรรมดา

จุดเด่นของ OLED








จุดด้อยของ OLED


อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน OLED ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเท่ากับ LCD และ LED จากคาดว่าในอนาคต OLED น่าจะเข้ามาแทนที่ LCD และ LED อย่างแน่นอน รวมทั้งอาจได้เห็นการใช้จอ OLED บนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ก็ได้ เช่น แว่นตา, หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งบนผืนผ้า โดยเฉพาะจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นที่สามารถโค้งงอได้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ตที่สามารถม้วนเก็บได้ หรือจอโทรทัศน์ที่สามารถโค้งรับกับมุมห้องได้ แค่นึกภาพก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ