วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลภาพ

1.เทคโนโลยีจอโค้งงอได้ (Bendable / Flexible display) 
สืบเนื่องจากช่วงนี้ กระแสของมือถือหน้าจอโค้งงอได้ (Bendable / Flexible display) กำลังมาแรงครับ โดยค่ายมือถือที่กำลังแข่งกันเป็นที่หนึ่งของโลกในการเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอโค้งได้นี้ คือค่ายมือถือร่วมชาติอย่าง LG ที่จะมาพร้อมกับมือถือที่คาดว่าจะมาในชื่อ LG G Flex และ Samsung ที่คาดว่าจะเปิดตัวในชื่อ Samsung Galaxy Round โดยคาดว่าทั้ง 2 บริษัทจะเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอแบบใหม่นี้ในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ครับ
โดยคำถามที่ตามมาสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆคือ แล้วเจ้ามือถือที่มีจอแบบโค้งได้นี่มันให้อะไรกับเรา? มันทำอะไรได้บ้างนอกจากโค้งได้? หรือส่วนที่โค้งขึ้นมาเอาไว้แค่โชว์การแจ้งเตือนต่างๆ (Notification) เท่านั้นหรือ?

วันนี้เรามาดูอะไรดีๆเกี่ยวกับเจ้าเทคโนโลยีนี้กันครับ
ในเนื้อหาบทความนี้คงจะไม่พูดถึงเรื่องเทคนิคเชิงลึกเกี่ยวกับว่าเจ้าจอโค้งได้นี้ทำมาจากอะไร และเพราะอะไรมันถึงโค้งได้ เพราะมันเป็นเรื่องเชิงเทคนิคพอสมควร แต่ถ้าท่านใดต้องการอ่านเพิ่มเติม สามารถอ่านได้จากที่นี่เป็นต้นครับ: Source 1http://www.phonearena.com/news/Flexible-mobile-displays-Interview-from-the-research-lab-with-Michael-G.-Helander_id24436)
องค์ประกอบของหน้าจอ Bendable/Flexible display ของ Samsung ที่ชื่อว่า "Youm"
องค์ประกอบของหน้าจอ Bendable/Flexible display ของ Samsung ที่ชื่อว่า “Youm” เทียบกับจอรูปแบบอื่นๆ
สิ่งที่เราจะเน้นถึงคือ ในฐานะผู้บริโภคเราจะได้อะไรจากหน้าจอแบบใหม่นี้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสามารถคาดหวังกับมันได้ในอนาคตอันใกล้ครับ

 

หน้าจอที่โค้งงอได้ (Bendable) ทำให้มันไม่มีวันนแตก (Unbreakable)

สิ่งแรกที่ต้องอ้างถึงคือ ด้วยโครงสร้างของเจ้าหน้าจอแบบโค้งได้นี้ เป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานอิงบนหน้าจอแบบ OLED ซึ่งไม่ต้องการแผง backlight ด้านหลังแบบจอ LCD เดิม และเจ้าจอโค้งได้นี้สามารถแสดงผลบนวัสดุที่ทำมาจาก “พลาสติก” ได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบหน้าจอแบบเดิมๆ ซึ่งนี่เป็น
สิ่งที่ทำให้หน้าจอแบบแบบใหม่นี้มาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ 2 คำ คือ โค้งงอได้ (Bendable) และ ไม่มีวันแตก (Unbreakable)
ในส่วนของการโค้งงอได้นั้น เนื่องจากหน้าจอแบบใหม่นี้ มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มคล้ายกับถุงแบบ zip lock จึงทำให้มันสามารถดัดแปลงรูปร่างของมันได้ค่อนข้างหลากหลาย
samsung bendable display
และด้วยความที่วัสดุของมันทำมาจากพลาสติก ทำให้ถึงแม้เราจะทำมือถือตกหน้าจอกระแทกเข้ากับพื้นผิวแข็งๆ ตัวหน้าจอของมือถือเราก็จะไม่แตก (นี่คือสิ่งที่บทความเกี่ยวกับหน้าจอ bendable / flexible display จะกล่าวไว้ นั่นคือไม่มีวันแตก แต่ของจริงจะเป็นอย่างไร เราต้องรอพิสูจน์กันตอนมือถือที่ใช้จอแบบนี้ออกวางจำหน่ายจริงๆอีกทีครับ)
อย่างไรก็ดี สำหรับมือถือนั้น ถึงแม้หน้าจอจะใช้งานจอแบบ bendable / flexible display แต่ว่าองค์ประกอบอื่นๆในตัวเครื่องเช่น เมนบอร์ด แรมหรือแบตเตอร์รี่นั้นไม่ได้ผลิตมาให้สามารถโค้งตามจอได้ด้วย (ถึงแม้จะมีข่าวว่าองค์ประกอบเหล่านี้ก็เริ่มเข้าสู่การผลิตแบบให้สามารถโค้งงอได้แล้ว แต่ว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักพักครับ) นั่นไม่ได้หมายความว่ามือถือของคุณจะไม่มีวันพังนะครับ เพราะถ้าชิ้นส่วนที่เสียหายเป็นส่วนอื่นๆในเครื่อง ก็ทำให้มันพังได้เช่นกัน

2. 4K
จอทีวี ยิ่งใหญ่ภาพก็ยิ่งหยาบ ยิ่งเบลอ เมื่อความละเอียดของภาพเท่าเดิม แต่ขนาดของจอมันใหญ่ขึ้น เปรียบเหมือนเราเอาหน้าไปจ้องทีวีในระยะใกล้ๆ เราก็จะเห็นถึงความเบลอ
ปีที่ผ่านมาหลายคนที่ซื้อทีวีเริ่มสังเกต (และโดนคนขายบิ้ว) ให้ซื้อทีวีที่เรียกว่า Full HD 1080p คือทีวีที่มีความละเอียดสูง 1920×1080 ส่วนทีวีที่ราคาถูกลงมาหน่อยจะเรียกว่า HD 720p (1280×720) ย้ำอีกทีว่า ยิ่งละเอียดสูง ภาพก็ยิ่งชัด
และเมื่อเราเริ่มที่จะอยากได้ทีวีจอใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ความละเอียดที่ 1920×1080 อาจไม่พอเพียง วันนี้จึงมีความละเอียดที่เป็นสุดยอดมากกว่าที่เค้าเรียกว่า 4K
4K Ultra high definition television คือมาตรฐานใหม่ของจอทีวี ที่ให้ความละเอียดถึง 3840 x 2160 และเมื่อเอาตัวเลขมาคูณกันจะได้ 8,294,400 pixels พอดี
ตัวเลข 8ล้านกว่านี้ สูงกว่า Full HD ที่เราพอจะหาซื้อได้ในท้องตลาดถึง 4 เท่า!
ความละเอียดขนาดนี้ บางคนบอกว่า เราสามารถที่จะหยุดภาพวิดีโอที่ถ่ายด้วยความละเอียด 4K และสามารถ print ลงกระดาษได้เลย
ความจริงแล้ว 4K ไม่ใช่เรื่องใหม่ และความละเอียดของ 4K มีหลายมาตรฐาน (อ่านต่อได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/4K_resolution) ในตลาดมีการทำจอ 4K ออกมาขายแล้ว เพียงแค่ราคายังไม่เหมาะกับกระเป๋าคนทั่วไปเท่าไร่นัก
3. ทีวีจอใหญ่ที่สุด 110 นิ้ว
เราว่าจอทีวีขนาด 50กว่านิ้วก็ใหญ่แล้ว ดูในห้องเล็กๆ แสงก็สาดเข้าตาจนแทบจะบอด แต่วันนี้ที่งาน CES 2013 บริษัท Westinghouse ได้เปิดตัวจอที่เค้าว่าใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาด 110 นิ้ว!!
110 นิ้วไม่พอ จอใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เทคโนโลยี 4K Ultra high definition television ที่กล่าวไปด้านบน
เว็บไซต์ the Verge บอกว่า จากที่ได้ไปดูตัวทดลองที่งาน CES 2013 นี้ พบว่า สีของภาพดูไม่สดเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามเค้าคิดว่านี่น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะรุ่นทดลองนี้เท่านั้น เพราะทาง Westinghouse แจ้งว่า เค้าใช้จอจากบริษัท ChinaStar บริษัทเดียวกันกับที่ผลิตจอให้ Samsung
สำหรับราคาน่ะหรอ? ตัวที่เห็นนี้อยู่ที่ 300,000 เหรียญ หรือประมาณ 10 ล้านบาทครับ !! ราคาสูงจนแอบสงสัยว่า ด้วยเงินเท่านี้น่าจะสร้างโรงหนังเองได้เลยนะนี่ น่าจะได้จอใหญ่กว่ามาก
4. OLED (Organic Light Emitting Diodes)
OLED (อ่านว่า โอ-เลท) เป็นเทคโนโลยีจอภาพแบบใหม่ที่กำลังจะมาแทนที่ LED ด้วยคุณสมบัติที่บางกว่า (1/4 นิ้ว) ประหยัดไฟกว่า ทำให้เทคโนโลยีนี้กำลังถูกผลักดันให้ขึ้นมาใช้
จุดเด่นของ OLED ที่พูดถึงกันมากคือ การทำจอภาพที่ยืดหยุ่นได้ หรือ Flexible Display จอภาพที่สามารถโค้ง งอ หรือแม้กระทั่งม้วนเก็บได้ และที่สำคัญ จอ OLED นั้นสามารถมองเห็นได้จากทุกมุม กว้างสุดๆ 180 องศา (คงจะไม่มีองศาที่กว้างกว่านี้แล้วมั้ง?)
ด้วยความที่มันยืดหยุ่นได้ ตอนนี้หลายๆ บริษัทต่างจินตนาการไปถึงการที่จะพัฒนา OLED นี้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำเป็นแผนที่ เครื่องเล่นเกม และที่เคยได้ยินมานานแล้วคือ ทำเป็นเสื้อผ้า ประมาณว่า ถ้าวันนี้อยากจะเปลี่ยนสีเสื้อผ้าเป็นลายต่างๆ ก็แค่ดาวน์โหลดสีหรือลายใหม่ก็สามารถใช้ได้ทันที
ทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการทำงานของจอ OLED ไม่ขออธิบายไว้ตรงนี้นะครับ ใครต้องการไปหาข้อมูลอ่านต่อ สามารถตาม link ด้านล่างนี้ได้เลย มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษครับ
OLED – Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/OLED
เทคโนโลยี Oled คืออะไร http://www.siamget.com/buyerguide/3156
OLED TV คืออะไรเเละดีกว่า led tv เเละ lcd tv ยังไง http://www.bt-50.com/topic.php?q_id=29406
OLED เทคโนโลยีเพื่อจอภาพบาง http://www.eclubthai.com/board/index.php?topic=33125.0;wap2 
5. Multiview screen
หลายครั้งที่คนในบ้านเดียวกัน อยากดูทีวีคนละช่อง คนละรายการ คนหนึ่งอยากดูบอล ส่วนอีกคนอยากดูละคร
วงการทีวีได้แก้ไขปัญหานี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยความสามารถในการแสดงสองช่องในจอเดียวกัน ช่องหนึ่งได้เต็มจอ อีกช่องจะแสดงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆทางมุมด้านล่าง
ที่งาน CES ปี 2013 นี้ Samsung ได้เปิดตัวทีวีที่สามารถดูแบบเต็มจอได้สองช่องพร้อมกัน
อีกครั้งครับ สองช่อง และ เต็มจอ.. พร้อมกัน
เค้าเรียกว่า “MultiView Screen”
วิธีการแยกกันดูแต่ยังอยากนั่งกอดกันบนโซฟาเดียวกันนั้นทำได้ด้วยการใส่แว่นที่มาพร้อมหูฟัง ให้คุณสามารถรับชมรายการโปรดของแต่ละคนได้ พร้อมเสียงที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

6.สุดยอดเทคโนโลยีไร้สาย ทีวี Sony ไม่มีแม้กระทั่งสายไฟ!!
 ถือว่าเป็นทีวีไร้สายตัวจริง เสียงจริงนะคะ เพราะทีวี Sony ไม่มีสายต่อลำโพง ไม่มีสายต่อเครื่องเล่น DVD หรือ Blu-ray ไม่มีสายต่อ Set-top-Box และไม่มีแม้กระทั่งสายไฟ!!
 
Sony_wireless_power_transfer_LCDTVTHAILAND
         
          เทคโนโลยีทีวีไร้สายไฟของ Sony มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Sony Wireless Power Transfer” สามารถนำพลังงานไฟฟ้า 60 วัตต์ ส่งผ่านทางอากาศมาใช้เป็นพลังงานได้ ด้วยระยะห่างจากแหล่งกำเนิดพลังงาน 20 นิ้วหรือประมาณ 50 เซนติเมตร ถือเป็นระยะที่ใช้งานได้จริง นอกซะจากว่าบ้านจะมีพื้นที่ใหญ่อลังการแบบบ้านคุณ Roman ซึ่ง Sony ยังบอกด้วยว่า ในขณะที่ทดลองระยะห่างที่ทำได้มากที่สุด ทำได้ถึง 31 นิ้วหรือประมาณ 79 เซนติเมตรเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของตำแหน่งการวางทีวีอยู่ค่ะ เพราะใช้หลัก Magnetic Resonance Frequency แต่ถึงแม้ว่าจะมีวัตถุที่เป็นโลหะวางคั่นตรงกลางก็จะไม่มีการเหนี่ยวนำไฟฟ้าไปสู่วัตถุนั้น แต่ถ้าเป็นคนไฟแรงแบบคุณ GambitX ไปยืนอยู่แทนก็ไม่แน่นะคะ ผมที่สีทองอยู่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นสีดำเกรียมๆ ได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ยังเป็นเพียงเทคโนโลยีต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนาต่อไปเท่านั้น แต่เท่าที่ขนมหวานดูจากแหล่งข้อมูลหลายๆ แห่งแล้ว ยังไม่เห็นมีการกล่าวถึงเรื่องของการรับประกันความปลอดภัย แต่ก็น่าจะพอใช้ได้ในระดับนึง ไม่งั้น R&D ของ Sony คงจะโดนไฟดูดจนหัวฟูไปหลายคนแล้วแหงๆ

7.ที่สุดแห่งเทคโนโลยีในปีนี้ !!! Samsung 3D LED TV C8000
หากพูดถึงเทคโนโลยีที่ "ร้อนแรงที่สุด" ในวงการทีวีปี้นี้ ก็คงหนีไม่พ้นกระแส "ทีวี 3 มิติ" อย่างแน่นอนครับ หากเราจะชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ระบบเสียง Dolby Digital ในโรงหนังที่รายล้อมเราด้วยลำโพงด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังเรียงกันเป็นตับ จะให้ความรู้สึกโอบล้อมเราแบบ "360 องศา" อย่างสัมผัสได้ ดังนี้ระบบเสียงที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็สามารถจัดได้ว่าเป็น "เสียง 3 มิติ" โดยพฤตินัยอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามในส่วนของระบบภาพโดยทั่วไปแล้วนั้น ก็ยังเป็นแบนๆแบบ "2 มิติ" อยู่ หากพูดกันจริงๆแล้ววิวัฒนาการ ทางด้านภาพอาจจะยังเร็วสู้ระบบเสียงที่ซับซ้อนน้อยกว่าไปซักนิด จากยุค Standard Definition (480i/576i) มายังยุค High Definition (1080i/1080p) ก็จัดได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแท้จริง เฉกเช่นการเปลี่ยนแปลงจากยุคทีวีจอขาวดำเป็นจอสี มาถึงปี 2010 นี้ การเปลี่ยนแปลงในวงการทีวีครั้งใหญ่ก็กำเนิดขึ้นอีกครั้ง นั่นก็คือการเปลี่ยนจากยุค "ภาพ 2 มิติ" เป็น "ภาพ 3 มิติ" นั่นเอง ส่วนที่ที่จะกล่าวถึงในวันนี้นั้นก็เป็นตัวที่ได้รับรางวัล Most Advanced Technology Award หรือรางวัลทีวีที่มี "เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด" ประจำปีนี้ :: ในการประกาศรางวัล VIDEOPHILE LCDTVTHAILAND AWARDS 2010-2011 ก็คือ Samsung 3D LED TV C8000 นั่นเอง ทำให้ครั้งนี้ไม่แพียงแค่ระบบเสียงจะมีมิติล้อมรอบเราเท่านั้น ภาพและตัวละครต่างๆบนจอก็จะมีมิติเหมือนจะลอยออกจากจออกมาอยู่ตรงหน้าของเราได้อีกด้วย


แล้วคำถามคือ "แล้วทำไม Samsung C8000 ถึงเป็นตัวที่ได้รับรางวัล Most Advanced Technology Award ?" ทั้งๆที่ 3D TV เจ้าอื่นๆก็มีตั้งเยอะแยะ คำตอบก็ง่ายๆนะครับ เพราะ Samsung เป็นเจ้าแรกที่นำ 3D TV วางจำหน่ายในท้องตลาดประเทศไทย มาพร้อมกับ Full Line Up ไม่ว่าจะเป็น 3D LED TV / 3D LCD TV / 3D Plasma TV / 3D blu-ray Player / 3D Blu-ray Home Theater ซึ่งไม่ได้ออกมาเป็นน้ำจิ้ม แต่เรียกได้ว่าออกมา "ยกแผง" เป็นกองทัพเลยก็ว่าได้ ในขณะที่ความสามารถในการแสดงภาพสามมิติและลูกเล่นหลายๆอย่างก็ครบถ้วนสมบูรณ์และ "ล้ำหน้า" กว่าเจ้าอื่นๆที่ออกตามมาทีหลังด้วยซ้ำ

เอาเป็นว่าเรามดูความสามารถของ Samsung  LED TV C8000 ที่ล้ำหน้ากว่าทีวี 3 มิติรุ่นอื่นๆก่อนดีกว่าครับ

1.  All 3D Formats Playback :: ความสามารถในการแสดงภาพ 3 มิติได้ทุกรุปแบบในปัจจุบันนี้หากต้องการดูหนัง 3 มิติแท้ๆแบบ Framepack ซึ่งไม่ได้มีการบีบอัดข้อมูลหากเทียบกับ 3D ประเภท Side by Side และ Top/Bottom หละก็ จำเป็นต้องใช้แผ่น 3D แบบ Framepack แท้ๆอาทิเช่นเรื่อง Monster VS Aliens / Cloudy with A Chance of Meat Ball / Ice Age 3 :: Dawn of the Dinosaurs แล้วก็ต้องใช้เครื่องเล่น Blu-ray Player แบบ 3 มิติในการเล่นเท่านั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทุกยี่ห้อก็มีกัน อย่างไรก็ Samsung C8000 ก็สามารถรองรับ Format ภาพ 3 มิติได้ทุกรูปแบบนอกเหนือจากแบบ Framepack ครับ อาทิเช่น Side by Side / Top Bottom / Checker Board เป็นต้น หากในอนาคตจะมี Format 3D เหล่านี้ออกมาเพิ่มเติมอีก อาทิเช่น หนัง 3D, การออกอากาศทีวีแบบ 3D หรือ เกมส์ 3D  ก็มั่นใจได้ว่า Samsung 3D LED TV C8000 Series ตัวนี้ก็สามารถรองรับและแสดงผลได้ทั้งหมด ถือได้ว่ารองรับอนาคตกันไปยาวๆ

Format 3D ต่างๆที่ Samsung C8000 รองรับครับ
ที่เด่นๆและใช้กันบ่อยก็มี Framepack / Side by Side / Top Bottom


3D แบบ Framepack เรื่อง Monster VS Aliesns ภาพจะเหลื่อมซ้อนซ้ายขวากัน
เพียงแค่ใส่แว่น 3 มิติเข้าไปภาพก็จะลอยมีมิติออกมา


ทีวี 3 มิติ ยิ่งดูในที่มืด ภาพยิ่งลอยมีมิติ เพราะแสงจากภายนอกจะมากวนสายตาได้น้อยกว่า


แผ่นหนัง 3D แท้ๆแบบ Framepack อาทิเช่น Monster VS Aliens แถมมาให้กับชุดเลย
 
2. 2D to 3D Conversion :: เปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาให้เป็นภาพ 3 มิติอีกหนึ่งลูกเล่นที่ "ไม่ต้องง้อ" แผ่นหนัง 3 มิติก็คือ การเปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาๆ ให้เป็นภาพ 3 มิติ จริงอยู่ว่าในช่วงปลายปี 2010 ต้นปี 2011 แผ่นหนังบลูเรย์ 3 มิติอาจจะยังมีไม่แพร่หลายมากนัก คงต้องรอประมาณกลางปีถึงปลายปี 2011 ถึงจะทยอยออกมาให้เลือกกันเยอะกว่านี้ (เหมือนแผ่น Blu-ray ออกมาใหม่ๆ ก็แค่เป็นโซนเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในโซนแผ่น DVD แต่ตอนนี้มีให้เลือกเยอะมาก) ทำให้มีบางคำถามถามว่า แล้วจะซื้อทีวี 3 มิติ มาดูกับอะไร ? คำตอบของ Samsung ก็คือ ก็ซื้อมาดูรายการทีวีธรรมดา / หนังจาก Cable TV / Game / หนังแผ่น Blu-ray DVD แบบ 2 มิติธรรมดาๆ และก็สามารถแปลงเป็นภาพ 3 มิติได้ถ้าต้องการ (ว้าว) เพียงแค่กดปุ่ม 3D บนรีโมทคอนโทรล เสร็จแล้วก็เลือกไปที่ "2D to 3D Conversion" ถึงแม้มิติภาพอาจจะสู้คอนเทนต์ 3 มิติแท้ๆไม่ได้ อย่างไรก็ตามมันก็มีมิติขึ้นมาแบบ "จับต้องได้" มากขึ้น และสามารถ "เพิ่มอรรถรสในการรับชม" ขึ้นมาได้อีกเยอะ ในขณะที่ค่าย 3D TV เจ้าอื่นๆมักจะไม่มีฟังก์ชั่นนี้ หากให้เปรียบเทียบคงจะเปรียบเทียบในส่วนของเครื่องเล่น Player ต่างๆ เราก็คงอยากให้มีฟังก์ชั่น Upscale ภาพธรรมดาๆ 576i ให้เป็น 1080p หรือหากเป็นเสียงก็คงเทียบกับฟังก์ชั่น "Upsampling" ที่ทำให้คุณภาพเสียงของไฟล์เพลงดีขึ้น ดังนี้ก็สามารถหยิบแผ่นหนัง Blu-ray แบบ 2D ธรรมดาๆและมา "เพิ่มพลังมิติภาพ" ให้กับแผ่น Blu-ray ของท่าน ด้วยการแปลงภาพ 2D ให้เป็น 3D ด้วย Samsung C8000 กันเถอะ
 

2D to 3D Conversion เปลี่ยนภาพ 2 มิติธรรมดาๆให้เป็นภาพ 3 มิติได้
 
และยิ่งไปกว่านั้นที่ทีวีสามมิติทั่วไป "ไม่สามารถทำได้" ก็คือ การปรับ "ระดับความลึกมีมิติ" ของภาพ 3 มิติ (Depth) ได้ถึง 10 ระดับ ยิ่งตัวเลขมาก ภาพก็จะยิ่งลอยมีมิติ แต่โดยทั่วไปเพื่อไม่ให้การรับชมภาพสามมิติที่มีมิติจัดๆตึงเครียดจนเกินไปนัก แนะนำระดับ 5 ก็มีระดับมิติที่เพียงพอต่อการรับชมแล้ว
 

ปรับ Depth ระดับความมีติของภาพ 3 มิติได้ถึง 10 ระดับ


8.จอภาพ LCD และ CRT
       เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก การใช้เครื่องมือต่างๆ ในชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการแสดงผลเพื่อที่จะให้ข้อมูลข่าวสารปรากฎแก่สายตาของผู้ใช้พัฒนาการของจอภาพจึงต้องพัฒนาตามอย่างต่อเนื่อง 
 
        คอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยีที่ขึ้นกับการแสดงผล ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ต้องติดต่อกับเครื่องผ่านทางเป้นพิมพ์และ แสดงผลออกมาทางจอภาพและการแสดงผลนั้นก็ได้รับการพัฒนาจากหลอดภาพ CRT และแผงแสดง LCD
        CRT มีการใช้กันอย่างกว้างขวางเพราะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามานาน CRT เป็นจอภาพที่ใช้กับโทรทัศน์และ พัฒนาต่อให้ใช้กับจอภาพของคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันได้มีการผลิตจอภาพหลายสิบล้านเครื่องต่อปี หากพิจารณาที่เเทคโนโลยีการแสดงผล โดยพิจารณาหลักการของการใช้แสงเพื่อสร้างงาน เราสามารถแบ่งแยกหลักการออกเป็น 2 ประเภท :-

  • การให้แหล่งกำเนิดแสงแสดงภาพและตัวอักษรดยตรง
    หลักการนี้ใช้ในจอภาพ CRT ซึ่งอาศัยลำอิเล็กตรอนกระทบกับสารเรืองแสงที่ติดอยู่กับจอภาพ สารเรืองแสงจะเปล่งแสงออกมาใมห้ตามองเห็น
  • การใช้แสงที่มีอยู่แล้วให้เกืดคุณค่า
    โดยการใช้หลักการสะท้าน หรือสร้างสิ่งแวดว้อมให้ส่องทะลุ กล่าวคือ ปิดเปิดลำแสงที่มีอยู่แล้วด้วยการ ให้ส่องทะลบุผ่านหรือกั้นไว้ หรือสะท้อน เป็นลักษณะของเทคโนโลยี LCD ( Liquid Crystal ) แผงแสดงผลึกเหลว

        อย่างไรก็ดี การแสดงผลบนจอภาพส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี CRT เพราะ CRT มีราคาถูกกว่า มีการพัฒนามานาน มีการผลิตในขั้นอุตสาหกรรมมาก มีความทนทาน เชื่อถือได้ CRT จึงเป็นเทคโนโลยีที่อยู่คู่คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น
        สำหรับ LCD นั้นได้เริ่มนำมาใช้ในจอแสดงผลในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแลปท็อป แบบโน๊ตบุ้ค แบบพาล์มท็อป การแสดงผลของ LCD มีลักษณะแบบแบนราบ น้ำหนักเบา กินไฟน้อย
พัฒนาการของ LCD
        LCD มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคิดเลขและนาฬิกาดิจิตอล หลังจากนั้นก็พัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการที่มีมากขึ้น เทคโนโลยี LCD เป็นเทคโนโลยีที่มียุคสมัย และแบ่งยุคได้ตามการพัฒนาเป็นขั้นๆเหมือนยุคของคอมพิวเตอร์

    • ยุคแรก สร้างฐานของเทคโนโลยี
      ในยุคนี้เป็นยุคที่เริ่มต้นของการพัฒนา LCD เทคนิควิธีการที่ใช้เป็นแบบ DMS ( Dynamic Seattering Method )และ TN ( Twisted Nematic ) ข้อเด่นของเทคโนโลยีนี้คือ ใช้กำลังงานไฟฟ้าต่ำ ใช้แรงดันต่ำ เหมาะสมที่จะใช้งานกับเทคโนโลยี CMOS จึงนำมาประยุกต์ใช้ในเครื่องคิดเลข นาฬิกา ฯลฯ
    • ยุคที่สอง ยุคขยายฐาน
      การประยุกต์ใช้งาน LCD เริ่มกว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นแบบTNโดยพัฒนาให้แผงแสดง มีลักษณะบางและ กระทัดรัดและเริ่มใช้ตัวสะท้อนให้มีสี การประยุกต์ใช้งานส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของเครื่องคิดเลข นาฬิกา ฯลฯ
    • ยุคที่สาม ยุคกระจาย
      ในยุคนี้มีการผลิตแพร่หลาย มีการตั้งโรงงานการผลิต LCD กระจายขึ้นทั่วโลก เทคโนโลยีที่ใช้เป็นแบบ TN และ GH ( Guest Host ) ข้อเด่นที่ได้ในยุคนี้ก็คือ LCD มีความเชื่อถือสูง มีความคงทน มีความเข้มคมชัด ีความเร็วในการตอบสนองต่อสัญญาณ ไฟฟ้าได้เร็ว การขยายการใช้งานจึงกว้างขวางขึ้นมาก มีการประยุคใช้ในกล้องถ่ายรูปรถยนต์แผงแสดงของจอคอมพิวเตอร์เกม และอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ การก้าวเข้าสู่รถยนต์ก็เพราะว่าสามารถลดอุปกรณ์การวัดที่ต้องอาศัยกลไกมาเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้มาก การแสดงผลเป็นแบบพาสซีฟจึงไม่สามารถสร้างความเครียดให้กับสายตา
    • ยุคที่สี่ ยุคท้าทายที่จะแทน CRT
      การใช้งานกว้างขวางและมีตลาดรองรับอยู่มาก เทคโนโลยีที่ก้าวเข้ามาในยุคนี้คือ การใช้ TFT หรือ Thin Film Transistor เพื่อสร้างจอภาพแสดงผลแบบแอคตีฟ ข้อดีคือ สามารถมัลติเพล็กซ์สัญญาณการแสดงผลได้เร็วทำให้จอภาพมีขนาดใหญ่ขึ้น ราคาถูกลง แสดงสีได้เหมือนนนธรรมชาติ การประยุกต์ใช้งานจึงเน้นจำพวกโทรทัศน์จอแบน จอคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครื่องมือวัด เกม ฯลฯ

ความแตกต่างระหว่าง LCD กับ CRT
        LCD เป็นแผงแสดงผลที่แตกต่างจาก CRT ตรงที่ตัว LCD ไม่ได้เปล่งแสงออกมา แต่ใช้หลักการควบคุมแสง จึงมีข้อเด่นมากมายเมื่อเปรียบเทียบกับ CRT
        จุดเด่นของ LCD จึงแสดงผลได้แม้ในสิ่งแวดล้อมที่มีแสงจ้าหรือ กลาง แจ้ง การมองเห็นทำได้อย่างชัดเจนไม่จางเหมือนอุปกรณ์ ที่ กำเนิดแสงเช่น CRT หรือ LED LCE ใช้กำลังไฟฟ้าต่ำมากโดยทั่วไปใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 1 -10 MicroWatt per Cm ใช้แรงดันไฟฟ้าขับที่แรงดันต่ำ จึงใช้วงจร CMOS ที่ทำงานเพียง 3 Volt ก็สามารถขับ LCD ได้จึงใช้ในวงจรรคอมพิวเตอร์หรือ วงจรดิจิตอลทั่วไปได้ แหล่งจ่ายไฟสำหรับ LCD ใช้แหล่งเดียวและะแรงดันไฟฟ้าระดับเดียว จึงไม่ยุ่งยากซับซ้อนในการใช้งาน 
        การแสดงผลของ LCD มีความคมชัด ไม่มีการกระพริบหรือภาพสั่นไหวไม่สร้างสัญญาณเสียงรบกวน มีขนาดกกะทัดรัด น้ำหนักเบา แบนราบ ขนาดแสดงผลมีขนาดเหมาะสมกับการประยุกต์เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ออกแบบการแสดงผลทำได้ตามต้องการ ด้วยเทคโนโลยี LCD แสดงผลในลักษณะหลายสี เหมือนจอ CRT ได้ การเชื่อมต่อไม่ต้องมีกลไกจึงทำให้ออกแบบประยุกต์ได้ง่าย      
หลักการเบื้องต้นของ LCD
        สารผลึกเหลวที่ใช้ใน LCD นั้นเป็นสารสังเคราะห์ที่จัดได้ว่าเป็นสารใหม่ที่พัฒนากันมาเมื่อไม่นานนี้ คำว่าผลึกเหลว ( Liquid Crystal ) หมายถึง สารที่อยู่ระหว่างของแข็งกับของเหลว ปกติสารทั่วไปเมื่อเป็นของแข็งที่อุณหภูมิหนึ่งครั้นได้รับอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะหลอมละลายเป็นของเหลว แต่สำหรับผลึกเหลวนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือมีช่วงอุณหภูมิที่กว้างสำหรับสถานะที่อยู่ระหว่าง ของแข็งกับของเหลว
        ผลึกเหลวจึงแตกต่างจากวัสดุทั่วไปที่มีจุดหลอมเหลวที่เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว หรือแม้แต่พลาสติกก็จะเริ่มอ่อนตัวเมื่อได้รับความร้อนจนหลอมละลาย แต่สำหรับผลึกเหลวมีลักษณะพิเศษ ชนิดของผลึกเหลวแยกตามโครงสร้างโมเลกุลเช่น แบบเนมาติก ( nematic ) แบบสเมติก ( smetic ) แบบคอเลสเตริก
        สำหรับหลักการทำงานของมันนั้น ปรากฏการณ์ของผลึกเหลวเป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะพิเศษสารอื่นๆ ในสถานะปกติ เมื่อยังไม่มีแรงดันไฟฟ้าป้อนให้ โมเลกุลของผลึกเหลววางตัวเป็นเกลียวในแนวคอลัมน์ แต่เมื่อ้อนแรงดันไฟฟ้าให้กับผลึกเหลว โครงสร้างโมเลกุลจะกระจักกระจายอย่างสุ่มดังภาพ 
 
        โครงสร้างผลึกที่จัดตัวเป็นเกลียวจะทำให้แสงผ่านทะลุลงไปได้ แต่เมื่อมีสนามไฟฟ้า ผลึกจะกระจัดกระจาย แสงจึงผ่านไปไม่ได้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดลักษณะการแสดงผลเป็นแบบขาวดำ



9.เปรียบเทียบเทคโนโลยีจอภาพคอมพิวเตอร์
โดยทั่วไปการทำงานของหลอดสี CRT จะคล้ายคลึงกับหลอด CRT ขาว-ดำ แตกต่างกันเพียงหลอดสีจะมี อุปกรณ์ยิงลำแสงเรียกว่า “electron gun” และ กลุ่มอะตอม phosphors 3 สีได้แก่ สีแดง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นพื้นฐานนำไปสร้างสีได้อีกหลากหลาย แต่ปัญหาที่พบในการเพิ่มเติมสีลงไปในหลอดภาพคือ ถ้าลำแสงไม่เที่ยงตรงเพียงพอ จะทำให้ได้สีที่ผิดไป หรือไม่มีความชัดเจน

แนวทางในการแก้ปัญหามีอยู่ 2 ทาง ทางแรกโดยการใช้หน้ากาก (หรือที่เราเรียกว่า "shadow mask") หน้ากากนี้ทำด้วยแผ่นเหล็ก เจาะรู ซึ่งจะยอมให้ลำแสงของสีที่ถูกต้องผ่านเท่านั้น อีกวิธีซึ่งได้รับการพัฒนาโดย Sonyเรียกว่า "aperture grille" โดยได้เปลี่ยนจากการใช้จุด phosphors มาเป็นเส้นตามแนวยาว จากนั้นจะใช้สายโลหะกั้นระหว่างเส้น phosphors แต่ละเส้น โดยสายโลหะนี้จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Shadow mask นั่นเอง

ประเภทของ Shadow Mask
คลิกที่รูปเพื่อดูรูปที่ชัดเจน
คลิกที่รูปเพื่อดูรูปที่ชัดเจน
Dot Type จอภาพคอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้เทคโนโลยีประเภทนี้เพราะ ราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพแล้วจึงเหมาะสม เพราะความคมชัดของจอประเภทนี้มีไม่มาก
Aperture Grill เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การแสดงภาพด้านมัลติมีเดียที่ต้องการแสดงเฉดสีสูงๆได้ดีมากแต่มีจุดด้อย ในเรื่องของความคมชัดสังเกตุได้จากตัวอักษร และมีเงาของสายโลหะ เป็นเส้นแนวนอน บริเวณ 1/3 และ 2/3 ของจอ
Stripe Type เป็นเทคโนโลยี่ที่ให้จุดโฟกัสของลำแสงได้ดีทำให้การมองภาพโดยเฉพาะ ประเภทตัวอักษรมีความคมชัดมากมีความละเอียดของภาพสูง แต่การให้เฉดสียังไม่เท่ากับ Aperture Grill 
การดูข้อมูลทางด้านเทคนิค

ดอตพิตช์ ( Dot pitch ) รูปภาพต่างๆที่แสดงขึ้นมาบนจอเกิดจากการรวมตัวกันของเม็ดสีเล็กๆหลายๆเม็ดทำให้เกิดภาพขึ้นมา ดังนั้นในการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์ให้สังเกตค่า ดอตพิตช์ (Dot pitch) หรือ ดอตสเปช (Dot space) ว่ามีค่าเท่าไร โดยค่าดังกล่าวนี้ไม่ควรเกิน 0.25 มิลลิเมตร

ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ ( Resolution ) ความละเอียดของจอภาพคอมพิวเตอร์ เราควรพิจารณาดูว่าค่าResolution ว่าเหมาะสมกับขนาดของจอหรือไม่ โดยทั่วไปจอขนาด 15” ควรจะมีค่า Resolution 800 x 600 จอขนาด 17” 1024 x 768 และจอขนาด 19” 1280 x 1024 หรือ 1200 x 1600

อัตราการแสดงภาพ ( Refresh Rate ) Refresh Rate อย่างน้อยควรจะไม่ต่ำกว่า 75 Hz ซึ่งเป็นอัตราที่พอใช้ได้ไม่ทำให้เกิดอาการภาพกระพริบหรือเกิดอาการปวดหัวของผู้ใช้ ค่า Refresh Rate ยิ่งสูงยิ่งดี

ตรวจสอบมาตรฐาน ( Energy star compliance ) เป็นมาตราฐานของจอที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ของหน่วยงานการป้องกันสิ่งแวดล้อม ประเทศอเมริกา เมื่อเราพบมาตราฐานนี้นอกเหนือจากการป้องกันในเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว มาตรฐานนี้จะช่วยให้เราทราบได้ว่าจอนั้นๆมีคุณภาพในการใช้งานที่คงทนและยังช่วยในการประหยัดพลังงานอีกด้วย 



10.OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก peoplecine.comdaydev.com

          ในปัจจุบันจอภาพแบบ LCD และ LED ได้มาแทนที่จอแก้วแบบ CRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่ดีกว่าจอ CRT ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความบาง, ความคมชัดของภาพ, ประหยัดพลังงานกว่า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะมีจอชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่ LCD (และ LED) แล้ว ก็คือจอภาพแบบ OLED นั่นเอง เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายชนิดที่หันไปใช้จอภาพแบบ OLED กันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ แต่เชื่อว่าคงมีหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยทราบว่าเจ้า OLED นั้นมันเป็นยังไง มีอะไรดี แล้วมันต่างกับ LCD ยังไงบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอพาท่านไปทำความรู้จักกับ OLED กันครับ

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

          OLED (Organic Light Emitting Diodes) คือจอภาพที่มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence) โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight และจะไม่มีการเปล่งแสดงในบริเวณที่เป็นภาพสีดำ ส่งผลให้สีดำนั้นดำสนิท อีกทั้งยังช่วยพลังงานด้วย

          นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังมีความบางกว่า LCD รวมทั้งมีความยิดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ เนื่องจาก OLED มีโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็ง ทำจากวัสดุอินทรีย์มีทั้งแบบ Polymer และโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น (บางกว่าเส้นผมของคน 200 เท่า) และอาจมีชั้นสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบอยู่  2 หรือ 3 ชั้น

รายละเอียดโครงสร้างของ OLED (แบบที่มีสารอินทรีย์ประกอบ 2 ชั้น)
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

1. Substrate เป็นชั้นผิวหน้าของจอภาพ อาจทำจากกระจก, ฟลอยด์โลหะ หรือพลาสติกใส ซึ่งหากทำจากฟลอยด์หรือพลาสติกใสจะทำให้ได้จอภาพที่มีความยืดหยุ่นสูง

2. Anode (ขั้วบวก) ทำด้วยวัสดุโปร่งใส (Indium Tinn Oxide ; ITO) เป็นตัวทำหน้าที่ดึงกระแสอิเล็กตรอน

3. Organic Layer ทำจากสารประกอบอินทรีย์ หรือโพลิเมอร์ของสารอินทรีย์ โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อย ๆ ได้แก่

          Conducting Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่ส่ง Hole ของอิเล็คตรอนจาก Anode

          Emissive Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายอิเล็คตรอนจาก Cathode โดยชั้นนี้เป็นชั้นที่ทำให้เกิดการเปล่งแสง

4. Cathode (ขั้วลบ) อาจทำด้วยวัสดุโปร่งใสหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของ OLED เป็นตัวทำหน้าที่ปล่อยกระแสอีเล็กตรอน


หลักการทำงานของกระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence)


ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

1. จอ OLED ได้รับกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหรือแบตเตอรี่

2. กระแสไฟฟ้าไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะส่งอิเล็กตรอนให้ Emissive Layer

3. Anode ดึงอิเล็กตรอนจาก Conductive Layer ทำให้เกิด Electron Holes ขึ้น

4. ระหว่าง Emissive Layer และ Conductive Layer จะเกิดปฏิกิริยา Electron (-) รวมตัวเข้ากับ Hole (+) ขึ้น

5. เนื่องจากอิเล็กตรอนมีระดับพลังงานทีสูงกว่า Holes จึงต้องลดระดับของพลังงานของอิเล็กตรอนลง ด้วยการเปลี่ยนรูปของพลังงานไปเป็นพลังงานแสงแทน

6. จอภาพ OLED เปล่งแสงจากพลังงานแสง

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

          สำหรับสีของแสงที่ปรากฏออกมาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลของสารอินทรีย์ในชั้น Emissive layer ซึ่งในจอ Full Colour OLED จะมีสารอินทรีย์ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ สารอินทรีย์ที่ให้แสงสีแดง, เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยสารทั้ง 3 ชนิดนี้ถูกเคลือบอยู่บน OLED เพียงแผ่นเดียวเพื่อให้เกิดสีสันต่าง ๆ ส่วนความสว่างของแสงที่ปรากฏบนจอภาพจะขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสอิเล็กตรอน หากมีกระแสมากแสงก็จะมีความสว่างมากขึ้น ซึ่งปกติ OLED จะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์

OLED สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ PMOLED และ AMOLED

          PMOLED (Passive Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะมีลักษณะเป็นแถบแยกออกจากกัน โดยชั้นของ Cathode และ Anode จะวางในแนวขวางซึ่งกันและกัน โดยเมื่อมีกระแสไหลผ่านในแต่ละช่อง Cathode และ Anode จะทำให้ฟิล์มเกิดการเปล่งแสงบริเวณที่ขั้ว Cathode และ Anode วางตัดกัน ดังนั้นการควบคุมการเปล่งแสงของ PMOLED จึงขึ้นอยู่กับการเลือกช่องทางเดินของกระแส โดยข้อดีของ OLED ชนิดนี้คือสร้างได้ง่าย และต้องการกระแสจากวงจรภายนอก ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากกว่า OLED ชนิดอื่น ๆ (แต่ก็ยังประหยัดพลังงงานมากกว่า LCD) ซึ่ง PMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพขนาดเล็กที่มีความกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว อย่างเช่น จอของโทรศัพท์หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ แต่ปัจจุบันนิยมหันใช้ AMOLED กันมากกว่าแล้ว

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

          AMOLED (Active Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะต่อเนื่องกันทั้งชั้น แต่ในชั้น Anode จะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางที่เป็นวงจรในตัวเอง และควบคุมการเกิดภาพได้เอง โดย AMOLED จะใช้พลังงานน้อยกว่า PMOLED เนื่องจากลักษณะโครงสร้างที่เป็นแบบฟิล์มบาง และยังสามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ได้ด้วย จึงทำให้ AMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพที่มีขนาดใหญ่ เช่น จอโทรทัศน์, จอคอมพิวเตอร์ หรือจอป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันก็นิยมใช้เป็นจอภาพของอุปกรณ์พกกาอื่น ๆ เช่นกัน

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต 

OLED ยังแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้อีก 4 ชนิด

1. Transparent OLED ประกอบด้วยชั้นที่โปร่งแสงทุกชั้น เมื่อปิดจอ แสงจากภายนอกจะสามารถผ่านจอได้ถึง 85 % และเมื่อเปิดจอกระแสไฟฟ้าก็จะถูกส่งเข้าระบบ และเปลี่ยนเป็นแสงส่องผ่านออกมาจากจอได้ทั้งสองด้าน ซึ่งสามารถสร้างจอภาพที่มองเห็นภาพได้ทั้ง 2 ด้าน โดย Transparent OLED นี้สามารถสร้างได้ทั้งแบบ PMOLED และ AMOLED

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

2. Top-emitting OLED เป็นจอแบบทึบแสงหรือสะท้อนแสง โดยจอภาพแบบนี้จะเป็นแบบ AMOLED ซึ่งถูกนำไปใช้กับ Smartcard เป็นส่วนใหญ่
 
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

3. Foldable OLED ทำด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น แผ่นฟลอยด์โลหะหรือพลาสติกใส มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานสูง เหมาะใช้สำหรับโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เพื่อช่วยลดปัญหาหน้าจอแตก นอกจากนี้ ยังสามารถเย็บติดกับเส้นใยผ้าต่าง ๆ อย่างเสื้อผ้าได้อีกด้วย

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

4. White OLED เป็น OLED ที่ให้แสงสีขาว ช่วยประหยัดพลังงานและมีคุณภาพดีกว่าแสงที่ได้จาก หลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้เห็นสีแท้จริง เช่นเดียวกันแสงสว่างตามธรรมชาติ และมีแนวโน้มว่าเมื่อทำให้มีขนาดใหญ่ จะสามารถใช้แทนแสงฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ตามบ้านและตึกต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้หลอดไฟธรรมดา


ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

จุดเด่นของ OLED 

บาง เบา และมีความยืดหยุ่นสูง
เมื่อนำพลาสติกมาทำจอของ OLED แทนกระจก จะทำให้จอมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้โค้งงอได้
สามารถทำเป็นจอแบบโปร่งใส และมองเห็นได้จากทั้งสองด้าน
ให้ความสว่างได้มากกว่าจอปกติ 
สีดำ ดำสนิทกว่าจอปกติ เนื่องจากไม่มีแสง Backlight
เนื่องจากสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง 
สามารถสร้างให้เป็นขนาดใหญ่ได้ง่าย โดยมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถสร้างจากพลาสติกได้ 
มีมุมมองกว้างถึงเกือบ 180 องศา 

จุดด้อยของ OLED

ฟิล์มที่ให้กำเนิดสีน้ำเงินมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1,000 ชั่วโมง (แต่สำหรับสีแดง และเขียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึงประมาณ 10,000-40,000 ชั่วโมง
สารอินทรีย์ที่ใช้ทำ OLED จะเสียหายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำหรือออกซิเจน 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

          อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน OLED ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเท่ากับ LCD และ LED จากคาดว่าในอนาคต OLED น่าจะเข้ามาแทนที่ LCD และ LED อย่างแน่นอน รวมทั้งอาจได้เห็นการใช้จอ OLED บนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ก็ได้ เช่น แว่นตา, หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งบนผืนผ้า โดยเฉพาะจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นที่สามารถโค้งงอได้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ตที่สามารถม้วนเก็บได้ หรือจอโทรทัศน์ที่สามารถโค้งรับกับมุมห้องได้ แค่นึกภาพก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ

เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูล

     1.    Floppy Disk


     แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ เป็น    อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ (floppy disk drive)

       ฟลอปปี้ดิสก์เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ถือได้ว่าอยู่ยั่งยืนมานานแสนนานและยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในอดีตฟลอปปี้ดิสก์จะมีขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งเป็นแผ่นใหญ่บรรจุข้อมูลได้ 1.2 เมกะไบต์จะบรรจุได้น้อยกว่าฟลอปปี้ดิสก์รุ่นใหม่ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งจะบรรจุข้อมูลได้มากกว่า 1.44 เมกะไบต์ในขนาดของแผ่นที่เล็กกว่า 

1.1    ระบบการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์

 กลไกการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์จะค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ โดยตัวจานหมุนจะเป็นวัสดุที่อ่อนนิ่ม เช่น ไมลาร์ ( Mylar ) ที่เป็นพลาสติกสังเคราะห์เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ในดิสก์ 1 แผ่นจะมีจานเดียว หัวอ่านจะเลื่อนเข้าไปอ่านข้อมูลและจะสัมผัสกับแผ่นดิสก์โดยตรง ทำให้แผ่นมีการสึกหรอได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะมีการส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงค่าสนามแม่เหล็กที่หัวอ่าน เมื่อตัวไดรว์ของดิสก์อ่านข้อมูลได้แล้วจะทำการส่งต่อให้กับคอนโทรลเลอร์ควบคุมแบบอนุกรมทีละบิตต่อเนื่องกัน ขณะที่ฟลอปปี้ไดรว์ทำงาน อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องหยุดรอ ทำให้การทำงานของระบบเกือบจะหยุดชะงักไป ที่มุมด้านหนึ่งของฟลอปปี้ดิสก์จะมีกลไกป้องกันการเขียนทับข้อมูล (write-protect) หากเป็นแผ่น 5.25 นิ้ว จะเป็นรอยบากซึ่งหากปิดรอยนี้จะไม่สามารถเขียนข้อมูลได้ ต่างกับ ดิสก์ 3.5 นิ้ว ที่จะเป็นสลักพลาสติกเลื่อนไปมา หากเลื่อนเปิดเป็นช่องจะบันทึกไม่ได้

1.2    ความจุของฟลอปปี้ดิสก์แบบต่าง ๆ

ขนาด
แบบที่เรียกว่า
ด้านที่บันทึก
ความจุข้อมูล
5.2นิ้ว
Single sided-Double Density
1
160/180 KB
5.2นิ้ว
Double sided-Double Density
2
320/360 KB
5.2นิ้ว
HD(High Density)
2
1.2 MB
3.5 นิ้ว
Double sided-Single Density
2
720 KB
3.5 นิ้ว
Double sided-High Density
2
1.44 MB
3.5 นิ้ว
Double sided-Quad Density
2
2.88 MB
3.5 นิ้ว
Floptical Disk
2
120 MB


           2. ดิสก์ความจุสูง (High-Capacity Floppy Disk)

    มีลักษณะคล้ายฟล็อปปี้ดิสก์แต่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมากกว่า ตัวอย่างเช่น ซูเปอร์ดิสก์ (Super Disk) มีความจุ 120 เมกะไบต์ ซิปดิสก์  (Zip Disk) มีความจุ 100, 250 เมกะไบต์ และแจสดิสก์ (Jaz Disk) มีความจุ 1,2 กิกะไบต

           3.    Harddisk


ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง ( hard disk ) คืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน     มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับมาเธอร์บอร์ด ( motherboard ) ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน ( PATA ) แบบอนุกรม ( SATA ) และแบบเล็ก ( SCSI ) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบีสายไฟร์ไวร์ของบริษัท Apple ที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก ( eSATA ) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 ถึง 250 กิกะไบต์ ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
     3.1      ประวัติของฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2499 (1956) โดยนักประดิษฐ์ยุคบุกเบิกแห่งบริษัทไอบีเอ็ม เรย์โนล์ด จอห์นสัน ซึ่งในขณะนั้น ฮาร์ดดิสก์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 นิ้ว มีความจุเพียงระดับเมกะไบต์เท่านั้น  (เทียบกับระดับกิกะไบต์ในปัจจุบัน ซึ่ง 1,000MB = 1GB ) ตอนแรกใช้ชื่อว่า ฟิกส์ดิสก์ ( fixed disk หรือจานบันทึกที่ติดอยู่กับที่ ) หรือ วินเชสเตอร์       ( Winchesters ) ซึ่งเป็นชื่อที่ IBM เรียกผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า ฮาร์ดดิสก์      ( จานบันทึกแบบแข็ง ) เพื่อจำแนกประเภทออกจาก ฟลอปปี้ดิสก์ ( จานบันทึกแบบอ่อน )
     3.2    การควบคุมฮาร์ดดิสก์
Hard Disk จะสามารถทำงานได้ต้องมีการควบคุมจาก CPU โดยจะมีการส่งสัญญาณการใช้งานไปยัง Controller Card ซึ่ง Controller Card แบ่งออกได้ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งจะกล่าวถึงเพียง 3 ชนิดที่ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน
     3.2.1    IDE (Integrated Drive Electronics)
ระบบนี้มีความจุใกล้เคียงกับแบบ SCSI แต่มีราคาและความเร็วในการขนย้ายข้อมูลต่ำกว่า ตัวควบคุม IDE ปัจจุบันนิยมรวมอยู่ในแผงตัวควบคุม 
           3.2.2    SCSI (Small Computer System Interface)
เป็น Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เสริมอื่นที่เป็นระบบ SCSI ได้ เช่น Modem CD-ROMScanner และ Printerใน Card หนึ่งๆจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว
    3.2.3    Serial ATA (Advanced Technology Attachment)
เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำเสนอ Parallel ATA มากว่า 20 ปี รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆที่ทำให้การอ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น วันนี้บริษัท Intel Seagate และบริษัทอื่นๆ คอยช่วยกันพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยี Serial ATA ขึ้นมาแทนที่
Serial ATA มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub มีจำนวน pin น้อยกว่า Parallel ATA
Serial ATA II ของทาง Seagate คาดว่าจะออกวางตลาดภายในปี 2546 และจะทำงานได้กับSerial ATA 1.0 ทั้งทางด้าน products และ maintain software

           4.    CD-ROM Drive

   แผ่นซีดีรอมเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลแบบออปติคอล (Optical Storage) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอม ทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไป ที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector ก็อ่านข้อมูลที่ได้รับกลับมาว่าเป็นอะไร และส่งค่า 0 และ 1 ไปให้กลับซีพียู เพื่อนำไปประมวลผลต่อไป
    ความเร็วของไดรว์ซีดีรอม มีหลายความเร็ว เช่น 2x 4x หรือ 16x เป็นต้น ซึ่งค่า 2x หมายถึงไดรว์ซีดีรอมมี ความเร็วในการหมุน 2 เท่า ไดรว์ตัวแรกที่เกิดขึ้นมามีความเร็ว 1x จะมีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล (Data Tranfer Rate) 150 KB ต่อวินาที ส่วนไดรว์ที่มีความเร็วสูงกว่านี้ ก็จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล ตามตาราง
    4.1        การทำงานของ CD-ROM
  ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรว์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกหรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก แลนด์ สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก พิต ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ และ แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด และ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น  
     4.2    ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล (Access Time)
         ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลคือ ช่วงระยะเวลาที่ไดรว์ซีดีรอมสามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม แล้วส่งไป ประมวลผล หน่วยที่ใช้วัดความเร็วนี้คือ มิลลิวินาที (milliSecond) หรือ msปกติแล้วความเร็วมาตรฐานที่ เป็นของไดรว์ซีดีรอม 4x ก็คือ 200 ms แต่ตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขเฉลี่ยเท่านั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าไดรว์ ซีดีรอมจะมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลบนแผ่นซีดีรอมเท่ากันทั้งหมด เพราะว่าความเร็วที่แท้จริงนั้นจะขึ้นอยู่ กับว่าข้อมูลที่กำลังอ่าน อยู่ในตำแหน่งไหนบนแผ่นซีดี ถ้าข้อมูลอยู่ในตำแหน่งด้านใน หรือวงในของแผ่นซีดี ก็จะมีความเร็วในการเข้าถึงสูง แต่ถ้าข้อมูลอยู่ด้านนอกหรือวงนอกของแผ่น ก็จะทำให้ความเร็วลดลงไป
      4.3    แคชและบัฟเฟอร์
          ไดรว์ซีดีรอมรุ่นใหม่ๆ มักจะมีหน่วยความจำที่เรียกว่าแคชหรือบัฟเฟอร์ติดตั้งมาบนบอร์ดของซีดีรอมไดรว์ มาด้วย แคชหรือบัฟเฟอร์ที่ว่านี้ก็คือชิปหน่วยความจำธรรมดาที่ติดตั้งไว้เพื่อเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนที่จะส่ง ข้อมูลไปประมวลผลต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านข้อมูลจากไดรว์ซีดีรอม ซึ่งแคชนี้มีหน้าที่เหมือน กับแคชในฮาร์ดดิสก์ที่จะช่วยประหยัดเวลา ในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี เพราะถ้าข้อมูลที่ร้องขอมามีอยู่ ในแคชแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านข้อมูลจากแผ่นอีก ขนาดของแคชในไดรว์ซีดีรอมทั่วๆ ไปก็คือ 256 กิโลไบต์ ซึ่งถ้ายิ่งมีแคชที่มีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูล ให้สูงขึ้นไปอีก
          ข้อดีของการติดตั้งแคชลงไปในไดรว์ซีดีรอมก็คือ แคชจะช่วยให้สามารถรับ-ส่งข้อมูล ได้ด้วยความเร็ว สม่ำเสมอ เมื่อแอพพลิเคชั่นร้องขอข้อมูล มายังไดรว์ซีดีรอม แทนที่จะต้องไปอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี ซึ่งมี ความเร็วต่ำ ก็สามารถอ่านข้อมูล ที่ต้องการจากแคช ที่มีความเร็วมากกว่าแทนได้ ยิ่งมีแคชจำนวนมากแล้วก็ สามารถที่จะเก็บข้อมูลมาไว้ในแคชได้เยอะขึ้น ทำให้เสียเวลาอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีน้อยลง
      4.4    อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอม
          อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอมมีอยู่ 2 ชนิดคือ IDE ซึ่งมีราคาถูก มีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลอยู่ในขั้น ที่ยอมรับได้ และชนิด SCSI มีราคาแพงกว่าแบบ IDE แต่ก็จะมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงขึ้นด้วย เหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นซีดีเซิร์ฟเวอร์ เพราะต้องการความเร็ว และความแน่นอนในการส่งถ่ายข้อมูลมากกว่า
          ไดรว์ซีดีรอมจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบติดตั้งภายใน และแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายในมีข้อดีคือ ประหยัดพื้นที่ในการวางซีดีรอมไดรว์และไม่ต้องใช้อินเตอร์เฟตเพื่อจ่ายไฟให้กับไดรว์ซีดีรอม และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายนอกมีข้อดีคือ สามารถพกพาไปใช้กับ เครื่องอื่นได้สะดวก

       4.5      ชนิดของ CD-ROM
                 4.5.1    ชนิดที่อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว
        ซีดีรอมไดรว์จะมีการบอกเสปคเป็น ”x” เดี่ยวๆ เช่น48 x หรือ52 x ก็จะหมายถึงอ่านข้อมูลได้ที่ความเร็ว 48x และ 52 x ตามลำดับ
                 4.5.2    ชนิดที่สามารถอ่านและเขียนบันทึกข้อมูลได้
         ซีดีอาร์ไดรว์ CD-R Drive  ย่อมาจาก  CD Recordable Drive  ซึ่งนอกจากจะอ่านแผ่นซีดีแล้วยังสามารถเขียนบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีอาร์ CD-R : CD-Recordable ที่เป็นแผ่นซีดีแบบบันทึกข้อมูลอย่างเดียวได้อีกด้วยโดยจะมีการแบ่งสเปคไว้ 2ตัว เช่น 4x24 หมายถึงเขียนข้อมูลได้ที่ 4 x ละอ่านข้อมูลได้ที่ 24x เป็นต้น
                 4.5.3    ชนิดที่สามารถอ่านบันทึกข้อมูลและลบข้อมูลได้       
        ซีดีอาร์ดับบลิวไดรว์ CD-RW Drive  ย่อมาจาก CD-ReWritable Drive  ที่สามารถอ่านและบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีอาร์ CD-R อีกทั้งยังเขียนและลบข้อมูลจากแผ่นซีดีอาร์ดับบลิวCD-RW ที่สามารถเขียน และลบข้อมูลได้ เหมือนฮาร์ดดิสก์อีกด้วยซึ่งจะแบ่งสเปคออกเป็น 3 ตัว เช่น12x 12x32xสามารถเขียน CD-R ได้ที่ความเร็ง 12x เขียน CD-RW ได้ที่ความเร็ว 12xและอ่านข้อมูลได้ที่ 32x

              5.    DVD-ROM Drive

         ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc)ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี ( DVD Writer ) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี
         5.1    คุณสมบัติของดีวีดี
                      4.1.1 สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 133 นาที
                      4.1.2 การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1
                      4.1.3 สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)
                      4.1.4 มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา
                      4.1.5 ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)
                      4.1.6 สามารถทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์
                      4.1.7 ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)
                      4.1.8 มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes)
         5.2    ชนิดของแผ่นดีวีดีที่ใช้บันทึกนั้นมีอยู่ 6 ชนิด คือ
                 4.2.1 DVD-R  
                      4.2.2 DVD+R   
                      4.2.3 DVD-RW   
                      4.2.4 DVD+RW  
                      4.2.5 DVD-R DL   
                      4.26 DVD+R DL
   5.3    ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW
       ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่นDVD-RW ได้
         5.4    โซนของแผ่นดีวีดี
   แผ่นดีวีดีที่ใช้บรรจุภาพยนตร์นั้น จะมีการบรรจุรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes) หรือ โซน (Zone) เพื่อประโยชน์ในการควบคุมลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ในแต่ละแผ่นจะบรรจุรหัสไว้อย่างน้อย 1 โซน สำหรับแผ่นที่สามารถใช้ได้กับทุกโซน (All Zone) นั้น จะบรรจุรหัสเป็น1,2,3,4,5,6 นั่นเอง แผ่นพวกนี้ในบางครั้งนิยมเรียกว่าแผ่นโซน 0 โดยปกติเครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงดีวีดีรอม ที่ผลิตในแต่ละประเทศ จะสามารถเล่นได้เฉพาะแผ่นที่ผลิตสำหรับโซนนั้นๆ และแผ่นที่ระบุเป็น All Zone เท่านั้น โซนพื้นที่
4.4.1 สหรัฐอเมริกาแคนาดา
4.4.2 ยุโรปญี่ปุ่นแอฟริกาใต้ตะวันออกกลาง ( รวมถึง อียิปต์ )
4.4.3 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( รวมถึง ประเทศไทย )เอเชียตะวันออก ( รวมถึง ฮ่องกง แต่ไม่รวม จีน )
4.4.4 อเมริกากลางอเมริกาใต้โอเชียเนีย
4.4.5 ยุโรปตะวันออกรัสเซียเอเชียใต้แอฟริกาเกาหลีเหนือมองโกเลีย
4.4.6 จีน
4.4.7 สำรอง
4.4.8 ยานพาหนะระหว่างประเทศ เช่น เรือเครื่องบิน

         สำหรับโซน 2 (ยุโรป) อาจจะมีรหัสย่อยตั้งแต่ D1 จนถึง D4 โดย D1 คือจำหน่ายเฉพาะประเทศอังกฤษ, D2 และ D3 กำหนดว่าไม่จำหน่ายในอังกฤษและไอร์แลนด์ ส่วน D4หมายถึงจำหน่ายได้ทั่วทั้งยุโรป ในหนึ่งแผ่นดีวีดีสามารถใส่รหัสโซนรวมกันได้หลายโซน โดยอาจมีรหัสโซน 3/6 เพื่อให้สามารถใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

         6.    แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive)

           แฟลชไดรฟ์ หรือ ยูเอสบีไดรฟ์ เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลโดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ทำงานร่วมกับยูเอสบี 1.1 หรือ 2.0 มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบาเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของไดร์ฟมีตั้งแต่ 8, 16, 32, 64, 128 จนถึง 1024 เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2549) บางรุ่นมีความจุสูงถึง16 GB โดยทั่วไปไดรฟ์จะทำงานได้ในหลายระบบปฏิบัติการซึ่งรวมถึง วินโดวส์98/ME/2000/XP แมคอินทอช ลินุกซ์ และยูนิกซ์ แฟลชไดรฟ์ รู้จักกันในชื่อต่างๆ รวมถึงทัมบ์ไดรฟ์    คีย์ไดรฟ์   “จัมป์ไดรฟ์ และชื่อเรียกอื่น โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
      
    6.1    ชื่อเรียกอื่น
  ชื่อเรียกของแฟลชไดรฟ์ (รวมถึงคำว่าแฟลชไดรฟ์) ไม่มีชื่อพื้นฐานที่กำหนด โดยผู้ผลิตได้ตั้งชื่อเป็นโมเดลของตัวเอง ซึ่งได้แก่
5.1.1 คีย์ไดรฟ์ (key drive)
5.1.2 จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) เครื่องหมายการค้าของเล็กซาร์
5.1.3 ดาต้าคีย์ (data key)
5.1.4 ดาต้าสติ๊ก (data stick)
5.1.5 ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) เครื่องหมายการค้าของ เมโมเร็กซ์
5.1.6 ทัมบ์ไดรฟ์ (thumb drive)
5.1.7 ทัมบ์คีย์ (thumb key)
5.1.8 เพนไดรฟ์ (pen drive)
5.1.9 ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive)
5.1.10 แฟลชไดรฟ์ (flash drive)
5.1.11 แฟลชดิสก์ (flash disk)
5.1.12 เมโมรีไดรฟ์ (memory drive)
5.1.13 ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive)
5.1.14 ยูเอสบีคีย์ (usb key)

           7.    เทคโนโลยี Blu-Ray

บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nmของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm
   7.1    ประวัติบลูเรย์
มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB
ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layerแบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที        
  7.2    Blu-ray Player
แผ่นดีวีดีโดยทั่วๆ ไปมีความจุ 4.7 กิกะไบต์ โดยเป็นขนาดความจุที่สามารถเก็บ ภาพยนตร์ขนาดความยาว 135 นาทีได้ในรูปแบบภาพวิดีโอมาตรฐานที่ถูกบีบอัดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจุขนาดนี้แม้จะมากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเก็บภาพยนตร์ในรูปแบบวิดีโอแบบความคมชัดสูงได้ โดยถ้าต้องการเก็บภาพยนตร์ความยาวเท่ากันในรูปแบบวิดีโอความคมชัดสูงแบบบีบอัดจะต้องการพื้นที่เพิ่มมากถึงห้าเท่า ทำให้ Blu-ray และ HD-DVD ถือกำเนิดขึ้นมาโดยใช้แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์แบบใหม่ซึ่งเป็นแสงสีน้ำเงิน (  คือแสงสีน้ำเงิน-ม่วง ) แสงสีน้ำเงินนี้จะมีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงของแผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงแผ่นดิสก์ได้มาก กว่าบนเนื้อที่เท่าเดิม โดย Blu-ray สามารถเก็บวิดีโอความคมชัดสูงได้นานถึง 9 ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ในดีวีดีทั่วๆ ไปได้นานต่อเนื่องถึง 23 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องของชั้นเคลือบดิสก์ โดยดิสก์แบบ Blu-ray มีชั้นเคลือบที่มีความหนาเพียงหนึ่งในหกของ ความหนาของดีวีดีทั่วๆ ไปหรือ HD-DVD นั่นทำให้ชั้นข้อมูลของดิสก์แบบ Blu-ray ใกล้ชิดกับผิวหน้าของดิสก์มากขึ้นและทำให้แสงเลเซอร์จากเครื่องเล่นแบบ Blu-ray อ่านข้อมูล ที่ถูกเก็บไว้เป็นชั้น (layer) ชั้นเดียวได้จำนวน มากขึ้น โดยโซนี่เองวางแผนที่จะเพิ่มชั้นของข้อมูลจาก 2 เป็น 4 ชั้นภายในปี 2007 และจะเพิ่มเป็น 8 ชั้นในที่สุด นั่นทำให้ดิสก์แบบ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นในแต่ละ ชั้นและเก็บได้หลายชั้นมากกว่า HD-DVD
Blu-ray มีโซนี่เป็นแกนนำภายใต้การสนับสนุนจากบริษัทอีกหลายบริษัท เช่น มัตซึ ชิตะ (พานาโซนิค)ธอมสันแอลจีฟิลิปส์ไพโอเนียร์ชาร์ป และซัมซุง รวมถึงวงการคอมพิวเตอร์อย่างเดลล์และเอชพี ในขณะที่ HD-DVD ถูกพัฒนาโดยโตชิบาและเอ็นอีซีเท่านั้น นั่นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการนั่งดูหนังที่บ้านมากขึ้น โดยเป็นภาพยนตร์ความคมชัดสูงในระดับเดียวกับที่สามารถนั่งดูได้ที่มัลติเพล็กซ์
   7.3    เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นแรก
6.3.1 โซนี่ เพลย์สเตชัน 3           
6.3.2 โซนี่ รุ่น BDP-S1
6.3.3 ซัมซุง รุ่น BD-P1000
6.3.4 พานาโซนิค รุ่น DMP-BD10
6.3.5 ไพโอเนียร์ รุ่น BDP-HD1
6.3.6 ฟิลิปส์ รุ่น BDP9000
6.3.7 ชาร์ป รุ่น DV-BP1
6.3.8 แอลจี รุ่น BD100
6.3.9 ไลท์-ออน รุ่น BDP-X1
  7.4    Blu-ray Disc และ HD DVD Disc
อย่างไรก็ตาม ความคิดของสตูดิโอภาพยนตร์และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มองว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้สามารถเพิ่มตลาดบันเทิงภายในบ้านให้กว้างขวางมากขึ้นนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะการ ที่ผู้บริโภคต้องมาเดิมพันเลือกข้างของเทคโนโลยีเหมือนสมัยสงครามระหว่าง VHS กับ Betamax เพราะอย่างน้อยภายในปีหน้าก็จะมีเครื่องเล่นที่สามารถสนับสนุนมาตรฐานทั้งสองได้ แต่จะเป็นเพราะอาจจะถึงคราวสิ้น สุดยุคของดิสก์แล้วก็ได้ โดยมี 4 เหตุผลสำคัญที่มาสนับสนุน ได้แก่
7.4.1    อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟท์กำลังเปิดบริการให้เช่าภาพยนตร์และบริการดาวน์โหลดผ่านเครื่องเล่น Xbox Live ของตัวเอง โดยเป็นบริการแรกที่รวมเอาการดาวน์โหลดภาพยนตร์ที่มีความคมชัดสูงด้วย ซึ่งถือเป็น การตัดหน้าเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ซึ่งจะรวมเอาเทคโนโลยี Blu-ray เอาไว้ด้วย โดยเครื่อง Xbox 360 สามารถเล่นได้เพียงแค่ดีวีดีทั่วๆ ไปเท่านั้น บริการให้เช่าวิดีโอผ่านการดาวน์โหลดถือเป็นการข้ามความจำเป็นที่ต้องใช้มีเดียหรือดิสก์ไป รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาที่ iTunes ต้องเผชิญในการขายภาพยนตร์โดยเฉพาะภาพยนตร์ความละเอียดสูง โดยเมื่อเราดาวน์โหลดภาพยนตร์เข้ามาไว้ในเครื่อง Xbox แล้วซึ่งปกติเครื่อง Xbox ต้องต่อกับโทรทัศน์อยู่แล้วก็ทำให้สามารถดูผ่านโทรทัศน์ได้เลย แต่ข้อเสียก็คือ ต้องมีเครื่อง Xbox ด้วย
7.4.2    Cable on-demand เครื่องมืออย่าง Comcast Box เป็น การนำภาพยนตร์ความคมชัดสูงมาเจอกับจอแบบ HDTV นอกจากนี้การ ดูแบบออนดีมานด์สามารถเปิดดูได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จอีก แต่สตูดิโอโดยส่วนใหญ่ก็พยายามไม่เอาภาพยนตร์ที่เพิ่งลง โรงมาให้ดูผ่านบริการแบบออนดีมานด์ แต่ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังจะ เปลี่ยนแปลงไป และมีการลองนำภาพยนตร์ที่เพิ่งลงโรงมาฉายบ้างแล้ว ที่สำคัญเทคโนโลยีป้องกันการทำซ้ำของบริษัทเคเบิลทั้งหลายน่าจะทำให้ ผู้ผลิตภาพยนตร์เบาใจลงบ้าง เช่นเดียวกับบริการให้เช่าภาพยนตร์ของ Xbox ที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะหมดอายุภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจาก การดาวน์โหลด
7.4.3    การปรากฏของรูปแบบของดิสก์แบบใหม่ หมายถึงเงินลงทุน เรื่องฮาร์ดแวร์ที่ต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหลังจากลงทุนซื้อ HDTV (ราคาประมาณ 3,000 เหรียญ) รวมถึงเครื่องเสียงอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่มีใครอยากจะลงทุนอีกมากมายนักแน่นอน และเครื่องเล่นวิดีโอความ คมชัดสูงก็ไม่ใช่ถูกๆ (เครื่องเล่น HD-DVD ราคาประมาณ 350-600 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เครื่องเล่น Blu-ray ราคาอยู่ระหว่าง 750-1,000 เหรียญสหรัฐ) การตัดสินใจที่จะให้เครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ เองสนับสนุนเทคโนโลยี Blu-ray ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญและยอดเยี่ยม ในการเพิ่มอุปสงค์ต่อภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยี Blu-ray อย่างไรก็ตามถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของโซนี่ด้วยเพราะถ้ามาตรฐานนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดก็จะทำให้เครื่องเพลย์สเตชั่นของโซนี่กลายเป็นเครื่องพิกลพิการไปด้วย
7.4.4    การกลับมาอีกครั้งของฮาร์ดดิสก์ไดรว์ การดาวน์โหลดภาพยนตร์ต่างจากดีวีดีตรงที่เพียงต้องการพื้นที่ที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์เท่านั้น โดยสามารถเก็บได้นานเท่าที่ต้องการ โดยอาจจะเก็บไว้ดูเพียงครั้งสองครั้ง หรือเก็บไว้ตลอดกาลก็ได้เช่นกัน เมื่อเทียบกับการโหลดเพลงผ่าน iTunes ซึ่งมีราคาถูกกว่าการซื้ออัลบั้มจริงๆ 8-10 เหรียญสหรัฐ ตามร้านขายปลีกทั่วไป และเมื่อพิจารณาว่าราคาฮาร์ดดิสก์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่ขนาดความจุกลับเพิ่มขึ้นอย่าง ก้าวกระโดดเช่นกัน ก็ยิ่งเห็นประโยชน์ของฮาร์ดดิสก์
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็คือ การนำไปใช้งานที่ยังยากอยู่เมื่อเทียบกับดูผ่าน แผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปเพราะจำเป็นต้องมีทักษะในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การที่ต้องนั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จถึงจะดูได้ก็เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน
ดิสก์จะถึงกาลอวสานตามการคาดการณ์หรือไม่ก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรมอันเป็นนิรันดรที่ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาสู่โลกของเทคโนโลยีหรือโลกใดๆ ก็ตามแต่ไม่สามารถข้ามพ้นมันไปได้

           8.    เทคโนโลยี HD-DVD

HD DVD ( High Definition DVD หรือ High Density DVD ) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง ( optical disc ) ที่ใช้บันทึกวิดีโอความละเอียดสูง ( high definition ) หรือข้อมูลชนิดอื่นๆ ก็ได้ HD DVD มีลักษณะใกล้เคียงกับ Blu-ray ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลคู่แข่ง โดยใช้ขนาดแผ่นเท่ากับซีดีรอม ( เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม. )
     8.1    ประวัติของ HD DVD
HD DVD ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายบริษัท เช่น โตชิบา, NEC, ซันโยไมโครซอฟท์ และอินเทล รวมถึงบริษัทภาพยนตร์อย่าง Universal Studios โตชิบายังได้ออกวางขายเครื่องเล่นแผ่น HD DVD เครื่องแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2006
     8.2    ความจุของ HD DVD
 HD DVD แบบเลเยอร์เดียวจุข้อมูลได้ 15GB และ 30GB สำหรับแบบสองเลเยอร์ โตชิบาได้ประกาศว่าจะผลิตแผ่นแบบ 3 เลเยอร์ที่จุได้ 45GB ในตัวแผ่น HD DVD สามารถใส่ข้อมูลชนิดดีวีดีแบบเดิม และ HD DVD ได้พร้อมกัน การอ่านข้อมูลใช้เลเซอร์ความยาวคลื่นแสงสีฟ้า (405นาโนเมตร )
ชั้นข้อมูลจะถูกบันทึกถัดไปจากพื้นผิว 0.6 มิลลิเมตรเช่นเดียวกับดีวีดีทั่วไป เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลวิดีโอคือ MPEG-2, Video Codec 1 และ H.264/MPEG-4 AVC สนับสนุนระบบเสียงแบบ7.1 ในส่วนความละเอียดของภาพนั้นขึ้นกับจอภาพที่ใช้ด้วย แต่สามารถขึ้นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
     8.3    HD DVD Player
 เมื่อเรามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอันมีผลต่อการเสพสิ่งบันเทิงล้วนสร้างความแตกต่างให้กับผู้เสพในเรื่องประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การถือกำเนิดของโทรทัศน์ที่กลายเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านไปแล้วและเป็นอุปกรณ์ที่เกือบมาทำให้ธุรกิจภาพยนตร์ต้องถึงกาลอวสานโดยทำให้จำนวนผู้ออกไปชมภาพยนตร์ นอกบ้านในปี 1948 ที่มีจำนวน 90 ล้านคนต่อสัปดาห์เหลือเพียง 20 ล้านคนต่อสัปดาห์ในปี 1966 และเมื่อคนอเมริกันมีโทรทัศน์สีใช้แล้วก็ทำให้คนดูอีกกว่า 70 ล้านคนต่อสัปดาห์ เลิกไปโรงภาพยนตร์ และทำให้ฮอลลีวูดต้องหันมาลงทุนโฆษณาจำนวนมหาศาล เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ผ่านโทรทัศน์เพื่อดึงคนกลับไปดูภาพยนตร์อีกครั้ง เมื่อมีวิดีโอและดีวีดี รวมถึงการสามารถทำสำเนาวิดีโอและดีวีดีเถื่อนได้ก็ส่งผลให้โรงภาพยนตร์แทบจะหายไปจากทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออกเลย นี่หมายความว่า Blu-ray รวมถึง HD-DVD กำลังจะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งต่อวงการฮอลลีวูด จริงๆ แล้วดีวีดีแบบ Blu-ray น่าจะเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโซนี่ โดยการที่ดีวีดีแบบนี้จะมีชั้นของการเก็บข้อมูล หลายชั้น ซึ่งนอกจากสามารถเก็บข้อมูลดิจิตอลจำนวนมากๆ ได้แล้วยังสามารถใช้ใน การบันทึกข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วย โดยเป็นโปรโมชั่นของเว็บไซต์ของ โซนี่เองที่สามารถเพิ่มเกมมิวสิควิดีโอ รวมถึง อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่สามารถนำมาเพิ่มให้เต็มครบชุดได้

         9.    Floptical Disk

เป็นการนำเทคโนโลยีด้านแสงเข้ามาช่วยในการบันทึกข้อมูล แต่ไม่ได้ใช้แสงโดยตรง ลักษณะ Floptical disk จะมีรูปร่างเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วทุกประการ แต่มีความจุมากขึ้นเป็น 120 เมกะไบต์ทีเดียว และตัวไดรว์ยังใช้อ่านเขียนข้อมูลแผ่นดิสก์ธรรมดาได้ด้วย ชื่อทางการค้าของ
Floptical Drive
ที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่ SuperDisk จากบริษัท Imation
   9.1    หลักการของ Floptical Drive
หลักการของ Floptical Drive อาศัยการบันทึกข้อมูลด้วยสนามแม่เหล็กเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ธรรมดา แต่ใช้กลไกการอ่านที่เรียกว่า optical servo (หรือบางทีเรียกว่า Laser servo)หรือวงจรเลื่อนตำแหน่งหัวอ่านควบคุมด้วยแสง ทำให้สามารถเลื่อนหัวอ่าน/เขียนได้ตรงกับแทรคที่มีความหนาแน่นกว่าดิสเก็ตธรรมดามาก เช่น ในดิสก์ธรรมดามี 80 แทรค 2480 sector แต่ในFloptical disk จะมี ถึง 1,736 แทรค 245,760 sector ทำให้ได้ความจุรวมถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น Floptical disk หมุนด้วยความเร็ว 720 รอบต่อนาที และมีอัตรารับส่งข้อมูล ประมาณ3.2-5.4 เมกะบิตต่อวินาที

         10.    ZIP drive ของ Iomega  Jazz drive

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีคล้ายกัน แต่รูปแบบต่างกันไป เช่น Zip Drive จากIomega ที่ออกมาก่อน Superdisk แต่ได้รับความนิยมมากพอสมควร Zip Drive มีทั้งรุ่นที่ต่อกับParallel port,USB port และแบบ SCSI และได้เพิ่มความจุจาก 100 เป็น 250 เมกะไบต์Iomega ยังได้ผลิต Jaz Drive ที่มีลักษณะเหมือนฮาร์ดดิสก์ถอดได้ โดยจะมีตัวไดรว์เป็นระบบSCSI เท่านั้น และมีแผ่นบรรจุข้อมูลขนาด 1 GB และ 2 GB นิยมใช้สำหรับการสำรองข้อมูลย้ายไปมา เนื่องจากมีความเร็วน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ และยังมีราคาแพงกว่า Zip หรือ Superdisk มาก